ยินดีต้อนรับครับ

ยินดีต้อนรับครับ

ทักทาย

ผมลองจัดระเบียบบล็อกใหม่ดูนะ ครับ

โดยแบ่ง Group Blog ออกตามประเภทของหนังและนิยายนะครับ
เพราะคิดว่าหลายคนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบ ดูหนังทุกประเภท

เช่น บางคนชอบดูหนัง Romantic แต่ไม่ชอบดูหนังสยองขวัญเลย เพราะไม่ชอบ น่ากลัว

บางคนก็ชอบดูหนัง สยองขวัญเป็นชีวิตจิตใจ หนังชีวิตน่าเบื่อมาก ไม่ชอบดู

ผมเลยแบ่ง หมวดหมู่เป็นประเภทของหนัง (แต่ตอนนี้แต่ละหมวดยังน้อยอยู่) เผื่อว่าใครผ่านเข้ามาในบล็อกแล้วอยากจะอ่านรีวิวเก่า ๆ จะได้เลือกได้ตามประเภทของหนังตามที่ชอบได้

ที่แบ่งตั้งแต่ตอนนี้ แม้หนังที่เขียนยังไม่เยอะ เพราะคิดว่าต่อไปเกิดเยอะมาแบ่งที่หลังจะยิ่งเสียเวลาน่ะครับ

บางเรื่องก็แบ่งยากเหมือนกัน มันคาบเกี่ยวกัน แต่ผมจะพยายามยึดอารมณ์ของหนังเป็นหลักน่ะครับ

อ้อ แล้วก็ในบล็อกผมตั้งใจจะขึ้นคำเตือนในทุกบล็อกว่าตรงไหนคุยแบบไม่สปอยล์ ตรงไหนคุยแบบสปอยล์ เวลาใครมาอ่านจะได้อ่านแบบสบายใจได้ไม่ต้องกลัวถูกสปอยล์นะครับ

ถ้าใครแวะมาแล้วไม่รู้จะคอมเมนต์ อะไร ก็ฝากข้อความทิ้งไว้ที่ Shout Box ด้านข้างได้นะครับ


ขอบคุณ ทุกท่านที่แวะเวียนมาอ่านนะครับ ผมก็จะแวะเวียนไปหาท่านด้วยเช่นกัน ตามโอกาสและเวลา

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

พ่อแม่รังแกฝัน

สามารถโหลดไฟล์แบบ PDF ไปอ่านได้ครับ (ก๊อปปี้ link แล้วไป paste ในช่อง URL ได้เลยครับ)

http://www.mediafire.com/?q4hf08w1ivu93ph

ออกแบบจัดหน้าสวยงามด้วยใจและฝีมือของบอยแมค โดยไม่ได้ร้องขอเลยซักนิด (มีเพื่อนดี)

ขอบคุณสำหรับการถีบแบบสุดตรีน (ถ้าไม่ทราบว่าการถีบคืออะไร อ่านให้จบก่อนครับ)

...............................................................


โตขึ้นอยากเป็นอะไรกันค่ะ

มีใครในประเทศนี้ไหมไม่เคยถูกถามคำถามนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะโดนโยนคำถามนี้ใส่จากคนที่เป็นครูในวัยเด็กของเรา
ไม่ว่ามันจะถูกถามเพราะว่าคนถามอยากรู้จริง ๆ หรือว่ามันเป็นหลักสูตรที่ถูกอบรมมาในวิชาส.ป.ช. หรืออาจจะเป็นกิมมิคในการสอนและฆ่าเวลาชั่วโมงเรียนได้ดีอย่างหนึ่ง หรือเพราะคนถามเคยเป็นผู้ถูกกระทำมาก่อน แต่ในวันนี้ ในวันที่ความฝันในวัยเด็กของเขาระเหิดกลายเป็นไอไปจนหมด เขาพบตัวเองเหลือแค่ตะกอนแห่งความฝัน กองทิ้งอยู่ในโลกแห่งความจริง และคำถามนี้ทิ่มแทงตัวตนของเขา จนทนไม่ไหวเลยต้องโยนมันให้เด็ก ๆ อย่างเรา (ในวันนั้น)

คิดไปนั่น

แต่ไม่ว่ายังไงเราทุกคนก็ยังถูกถามอยู่ดีว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร”
ทำไมถึงอยากรู้กันจังนะ

ในหนังสือเรื่องโตเกียวไม่มีขา นิ้วกลมตั้งคำถามนี้กับตัวเองและผู้อ่านว่า

“โตขึ้นอยากเป็นอะไร
ผมถามคุณ….
แล้วตอนนี้คุณทำอะไรอยู่ ?”

ผมอ่านแล้วโมโหมาก ถามอย่างนี้ได้ยังไงมันแทงใจดำอันแห้งแล้งของผม
เอาล่ะ โตขึ้นผมอยากเป็นอะไรเหรอ ผมเล่าเรื่องของผมก่อนดีกว่า

ความทรงจำในวัยเด็กผมคงเป็นสีเทาจาง ๆ แล้วล่ะ เพราะระลึกได้ลางเลือน แต่กระนั้นก็คิดว่าไม่น่าพลาดว่าครั้งหนึ่งตัวเองเคยพูดว่า “โตขึ้นอยากเป็นทหาร” เหตุผลง่าย ๆ ครับ เพราะผมเกิดในหมู่บ้านทหาร พ่อผมเป็นทหาร บ้านข้าง ๆ ก็เป็นทหาร บ้านตรงข้ามก็เป็นทหาร สิ่งมีชีวิตสนิทรอบตัวผมป็นทหารแทบทั้งนั้น เว้นไว้แต่แม่ น้องสาว ปลาทองในตู้ และไอ้จีจี้และนังตุ๊กแตม หมาและแมวข้างบ้าน
ทุก ๆ วันผมเจอแต่ทหารยั้วเยี้ยไปหมด ขนาดไปโรงพยาบาลให้หมอถอนฟัน ก็ยังไปเจอเพื่อนพ่อถอนให้ ซึ่งแน่นอนเป็นทหาร เพราะมันเป็นโรงพยาบาลทหาร ยังดีที่ตอนถอนเขาสวมวิญญาณหมอ ไม่ใช่ทหาร เลิกเรียนเดินกลับบ้าน ผมก็จะเห็นน้าคนนั้น ลุงคนนี้ที่แต่งเครื่องแบบทหาร ทักทายกันด้วยการยกมือสะบัดแตะที่หางคิ้ว และไม่ลืมที่จะเตะส้นเท้าชนกันเสียงดังแป๊ะ โคตรเท่เลย ดังนั้นเมื่อครูถามผมว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมจึงไม่ได้ตอบกลับไปว่า “พยาบาลครับ”

สำหรับเด็กผู้ชายแล้ว อาชีพของพ่อมักเป็นหนึ่งในความฝันแรก ๆ ของเรา ในชั้นเรียนของเรา ถ้าใครตอบว่าตัวเองโตขึ้นอยากเป็นอะไร ไม่ต้องสืบให้มากความ พ่อเขาเป็นแบบนั้นแหละครับ

ความฝันของเราล้วนมีรากฐานจากความจริง เราไม่สามารถอยากเป็นในสิ่งที่เราไม่รู้จักได้ เราทุกคนล้วนรับแรงบันดาลใจจากคนอื่น ที่พากันส่งไม้ต่อมาเป็นทอด ๆ ไม่แปลกที่ในชีวิตเราจะมีไม้หลาย ๆ ท่อนที่เรารับมา บางท่อนก็จุดไฟติด บางท่อนก็เปียกน้ำ บางท่อนเราก็แค่วางทิ้งไว้เฉย ๆ กองไว้ที่มุม ๆ หนึ่งในหัวใจเรา ตั้งชื่อมุม ๆ นั้นว่า “ความทรงจำ” และติดลาเบลให้กับมันซักหน่อย กันลืมว่าครั้งหนึ่งเราเคยอยากเป็นอะไร

ความฝันไม่ใช่ภรรยา จะมีเยอะขนาดไหน เราก็ไม่กลายเป็นคนทรยศต่อความฝัน ใช่ไหมครับ

แต่หาได้ยากนักที่คน ๆ หนึ่งจะทำความฝันของเขาทุก ๆ อย่างให้เป็นจริงได้
“อยากเป็น” กับ “อยากทำ” มีระดับความยากที่แตกต่างกัน

คุณเคยอยากเป็นอะไร และคุณเคยอยากทำอะไร

จริง ๆ แล้วแม้จะเคยอยากเป็นทหาร แต่ก็อย่างที่บอกไว้ข้างต้นนั่นแหละครับ ว่าด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าผมเกิดมาผมก็เห็นทหารมาตลอด สำหรับเด็กในวัยนั้นที่ถูกกดดันด้วยคำถามและเรียงความที่ถูกมอบหมายด้วยผู้ มีสิทธิอำนาจที่สุดในห้องเรียน ให้เขียนมาว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมถูกบีบให้ต้องเลือกมาหนึ่งอย่าง และเขียนบรรยายมันลงไปให้เต็มหน้ากระดาษฟูลสแก็บด้วยฟอนต์ขนาด 13-20 point ขึ้นกับความเมื่อยของมือ
ผมไม่มีทางเลือกมากนักหรอกในเวลานั้น ไม่มีใครเป็นแรงบันดาลใจให้ผม ผมยังไม่เจอใครที่จุดประกายให้ผมอยากจะเป็น

ก็ตอนนั้นผมยังไม่ได้อ่านเพชรพระอุมานี่นา

ชีวิตในวัยเด็กเป็นช่วงเวลาที่โลกแห่งความฝันของเราเข้มแข็งที่สุด ความรับผิดชอบในชีวิตยังไม่กดทับตัวเรา เรามีธนาคารออมสินที่ไม่ต้องใช้สมุดในการเบิกอยู่ที่บ้าน และมี 2 สาขาในบ้านเดียวกันด้วย
เวลาเช้ามีคนปลุกเรา แม้ว่าเรายังอยู่ในสภาพงัวเงีย แต่เราก็พบว่าฟันเราถูกแปรง ถูกน้ำชำระร่างกาย มีเสื้อผ้าถูกสวมใส่ตัวเราตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ตายังไม่ลืม โอ้ มหัศจรรย์
ตกเย็นเราวิ่งกลับบ้าน โยนกระเป๋าแล้วออกไปวิ่งไล่เตะลูกบอล โยนลูกข่าง ปาดินน้ำมัน ดีดลูกแก้ว ที่แม้จะพ่ายแพ้ยับเยิน กลับบ้านมาแบบหมดเนื้อหมดตัวขนาดไหน วันเสาร์นี้เราก็ออกไปซื้อใหม่ได้อีกอยู่ดี อย่าลืมซิครับว่าที่บ้านเรามีธนาคารอยู่ 2 สาขา
ชีวิตที่ไม่ต้องมาคอยทุกข์ร้อนและรีบเร่งแข่งขันเพื่อเอาตัวรอด ทำให้โลกอีกใบหนึ่งในตัวเราเติบโตและเข้มแข็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว มันเกลี่ยพื้นที่ เทปูน ลงเสาเข็ม สร้างรากฐาน และขึ้นแท่นเตรียมไว้ รอให้เราเจอใครซักคนหนึ่ง ที่จะมาเป็นแบบให้เราปั้นขึ้นมากลายเป็นไอด้อล ที่ถูกขนานนามว่า “อยากเป็น”
ช่วงเวลานี้ แค่ใครซักคนหนึ่งผ่านเข้ามาในชีวิตคุณ แล้วเขาคนนั้นโคตรเท่ เท่านั้นเอง เราจะเอาสิ่งที่เขาเป็นมาต่อท้ายสิ่งที่เราอยากเป็นในทันที

แล้วผมก็ปล่อยให้ “รพินทร์ ไพรวัลย์” ผ่านเข้ามาในชีวิตของผม

ผมพูดถึงหญิงสาวโรงเรียนเซนต์โยเซฟข้าง ๆ ที่เจอกันบนรถบัสรับส่งนักเรียนในเย็นวันที่เก้าอี้มีที่นั่งว่างเหลือแค่ สองที่ และเป็นเบาะคู่หรือ?
เปล่าครับ

ผมพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง การศึกษาสูงเล่าเรียนผ่านมา 3 ประเทศ แต่กลับมาฝังตัวเองอยู่ในป่าที่กันดารและห่างไกลความเจริญ ประกอบอาชีพเพียงเพื่อเลี้ยงท้องและแม่ที่แก่เฒ่า รักษาคำพูดแม้แลกด้วยชีวิต เมื่อรับงานใครแล้ว ให้สัญญาหมายความว่าสัญญา ลำบากกว่าลูกน้อง ตื่นก่อนนอนที่หลัง ทรหดยิ่งกว่าแรด เก่งหาตัวจับยาก พูดน้อย ปากหนัก หน้าตาย ไร้รอยยิ้ม (แต่กลับกลายเป็นคนยิ้มง่าย ยามคับขัน) ไม่โอ้อวด แต่กวนตีนสำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้หญิง และสุดท้ายก็ขโมยหัวใจเขามาโดยไม่รู้ตัว ภายใต้ใบหน้าที่หยาบกระด้างดังหินผา ความเป็นสุภาพบุรุษและจิตใจอันสูงส่งนั้นอัดแน่นสุมอยู่ภายใน ไม่ต้องพูด ไม่ต้องบอก ไม่ต้องเล่า เราเข้าใจได้เอง

พรานไพรใจฉกาจของคุณหญิงหมอ ผู้ชายแบบนี้แหละที่ผมอยากเป็น

ครับ ผมเจอแล้วครับคุณครู ผมอยากเป็นนายพราน

เสียดายที่หลักสูตร “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” ไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในช่วงม.ต้น ไม่งั้นผมคงได้มีโอกาสออกไปยืนเล่าให้เพื่อนทั้งห้องฟังด้วยดวงตาเป็นประกาย อะดรีนาลีนฉีดพล่านว่าโตขึ้น “กูอยากเป็นนายพราน” แล้วก็รับคำชมท่วมท้นกลับมาว่า “มึงบ้าหรือเปล่า”
เออ ตอนนั้นผมบ้าบอจริง ๆ

ผมอ่านนิยายเรื่องนี้ในช่วงวันหยุดปิดเทอมเดือนตุลาคมปีใดปีหนึ่งในช่วง ชีวิตของผมเนี่ยแหละ เป็นหนังสือนิยายเรื่องแรกที่ผมอ่าน และมันดันเป็นนิยายที่ (น่าจะ) ยาวที่สุดในประเทศไทย (ไม่รู้ว่าชาติบ้านเมืองอื่นเขามีกันขนาดไหน) 52 เล่มจบ (ในสมัยนั้น ปัจจุบันพิมพ์ใหม่เหลือ 48 เล่ม) เล่มละประมาณ 600 หน้า ก็ราว ๆ 30,000 กว่าหน้า อ่านกันแบบ unputdownable กันเลยทีเดียว
วันหยุดปิดเทอมช่วงนั้น แทนที่จะเตะบอล เป่ากบ เขี่ยการ์ด ผมจึงกลับใช้เวลาวิ่งเที่ยวเล่นอยู่ในป่า ตั้งแต่หนองน้ำแห้ง จนถึงหล่มสัก ทักทายกับไอ้แหว่ง ไอ้กุด ไปจนถึงงูยักษ์ไล่ยาวไปจนถึงนิทรานครและขุมเพชรพระอุมา ช่างเป็นการเที่ยวเล่นที่ลืมตาย และเหน็ดเหนื่อยพอสมควร

ถ้าให้คุยเรื่องเพชรพระอุมา ความเรียงตอนนี้คงเรื่อยเปื่อยสมชื่อแน่ ๆ ไว้มีโอกาสจะขอเขียนถึงซักหน่อยแล้วกัน เพราะอ่านจบไป 3 รอบแล้ว ใน 3 ช่วงวงจรชีวิต และก็ร่ำ ๆ อยากจะหยิบมาอ่านอีกซักรอบ

อย่างที่บอก (อีกแล้ว) โลกแห่งความฝันในช่วงเวลานี้มันเติบใหญ่เข้มแข็ง สิ่งที่ก่อร่างสร้างขึ้นในช่วงเวลานี้มักมีรากฐานที่มั่นคงบนซีเมนต์ที่ แกร่งแข็ง
ช่วงเวลานั้น ผมถึงขนาดมองหาเลยทีเดียวว่า โตขึ้นเราจะเรียนคณะอะไรดีที่ทำให้ฝันเป็นจริง
โอเค ใกล้เคียงสุดคือ วนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กูจะเป็นนายพราน 555 จำไม่ได้ว่าตอนนั้นบอกพ่อกับแม่ไปหรือเปล่า

อย่างน้อยแม้วันนี้ผมไม่ได้เป็นนายพรานอย่างที่ฝันไว้ แต่ผมก็อยากเป็นคนอย่างรพินทร์จริง ๆ และอย่างน้อยแม้ผมจะเป็นไม่ได้ทั้งหมดตามนั้น แต่อย่างน้อยผมก็มีมาตรฐานที่ตั้งไว้ให้ตะเกียกตะกายไปถึง แม้จะหล่นลงมา แต่อย่างน้อยผมพยายามที่จะเป็น

ผมคงไม่ใช่คนประเภท Born to be แต่เป็นพวกอยู่ไฟลั่ม Try to be มากกว่า (แต่ที่ผ่านมายังไม่อัพเกรด ยัง Fail to be อยู่)

ผมอยากเป็นคนรักษาสัจจะ อยากตรงต่อเวลา อยากเป็นสุภาพบุรุษ อยากเป็นคนทำมากกว่าพูด อยากเป็นคนเสียสละ อยากเป็นคนที่ลำบากก่อนคนอื่น บางเวลาก็อยากให้ถูกรักจากเพื่อนพ้องลูกน้องและเจ้านายอย่างรพินทร์บ้าง
และแม้อย่างน้อย ผมจะเป็นได้แค่เศษเสี้ยวหนึ่งในบางช่วงบางเวลา แต่อย่างน้อย ผมก็อยากเป็น
นี่แค่อย่างน้อยนะครับ ถ้ามันไม่น้อยล่ะจะดีขนาดไหน

ความฝันทำให้คนทำสิ่งยิ่งใหญ่เกินกว่าตัวตนของเขาได้ ขอบคุณพนมเทียนครับ

อย่างที่บอกไว้ (อีกครั้ง) ในหนึ่งชีวิตที่มีหลายช่วงวงจรเราอาจมีความฝันหลาย ๆ อย่าง แต่สุดท้ายแล้วคุณจะพบความจริงอย่างหนึ่งว่า ความฝันบางอย่างก็มีคำสะกดต่อท้ายว่า “เป็นไปไม่ได้”

หลังจากผ่านช่วงวัยเด็กมาสู่วัยรุ่น ผมและเพื่อน ๆ บางคนพบความฝันอีกอย่างหนึ่งในชีวิต ซึ่งมาเยือนเราในร่างของผู้ชายที่ชื่อ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย
ช่วงนั้นสนุกเกอร์บูมมาก ๆ ครับ ผู้ชายครึ่งห้องบ้าแทงสนุ้กมาก และจำนวนหนึ่งบ้าพอจะเชื่อว่าวันหนึ่งกูจะไปเทิร์นโปรเป็นมืออาชีพ
ครับ ผมเป็นหนึ่งในนั้น
ครูซิเบิ้ลเธียเตอร์คือความฝันของเรา ที่ที่นักสนุ้กเกอร์ทั่วโลกใฝ่ฝันจะไปเยือนในฐานะผู้แข่งขัน คล้าย ๆ กับที่นักบอลอังกฤษฝันจะไปเวมบลีย์ หรือนักเบสบอลญี่ปุ่นฝันจะไปโคชิเอ็ง หรือวาทยกรระดับโลกฝันว่าจะไปคาร์เนกี้ฮอลล์

"ขณะที่ผมเดินหลงทางในนิวยอร์ก ผมถามคนแถวนั้นว่าผมจะไปคาร์เนกี้ฮอลล์ได้อย่างไร เค้าก็ตอบกลับมาว่า คุณต้องซ้อม..ซ้อม..และก็ซ้อม"
มุกตลกของฝรั่งเขาล่ะครับ คุณบัณฑิต อึ้งรังสี เคยเล่าให้ฟังเอาไว้
แต่มันบอกสัจธรรมคุณได้อย่างหนึ่งครับ
ความฝันไม่ได้ใช้หัวใจสร้างให้เป็นจริง แต่ใช้มือและเท้าทำ

คนจำนวนมากปล่อยให้ความฝันเป็นเพียงแค่เรื่องของหัวใจ แต่ไม่เคยออกแรง ไม่เคยผลักมันออกไปที่มือและเท้า
มือทำ เท้าก้าวเข้าหาโอกาส เพิ่มความเป็นไปได้ให้ห่างไกลจากเลขศูนย์
0 กับ 0.1 มีค่าแตกต่างกันมหาศาลในโลกของความฝัน เพราะมันหมายถึง เป็นไปไม่ได้เลย กับ มีโอกาสเป็นไปได้
ดังนั้นเราต้องมองให้ออกครับ ว่าความฝันที่เรามีมันมีค่าความน่าจะเป็นเท่าไหร่
อย่างที่ผมบอก (อีกครั้งหนึ่ง) ว่าฝันบางอย่างก็เป็นไปไม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอายุ 45 ปีแล้ว แต่คุณฝันจะเป็นนักฟุตบอลติดทีมชาติไทยไปเตะบอลโลก ฝันของคุณมีค่าความน่าจะเป็นเท่ากับ 0
แต่ถ้าคุณอายุ 18 ปี แต่คุณไม่เคยเตะบอลมาก่อนเลย คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเลี้ยงลูกยังไง จะยิงยังไง กติกาคุณยังไม่รู้เลย แต่คุณอยากเป็นนักฟุตบอลติดทีมชาติไทยไปเตะบอลโลก อันนี้ “มีโอกาสเป็นไปได้”

ดังนั้นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของความฝันคือมันต้องซิงค์ (Sync) ได้กับความจริง

การที่ของสองอย่างจะซิงค์กันได้ อย่างหนึ่งคือมันต้องมี Platform คล้าย ๆ กัน อธิบายง่าย ๆ ใครใช้ i-Phone แล้วเอาไปต่อกับ PC มันจะไม่เจอกันครับ

โลกของความฝันกับความจริงก็เป็นเช่นนั้น มันต้องสอดคล้องกัน ถ้าคุณฝันอยากเป็นซุปเปอร์แมน รู้แล้วใช่มั้ยครับว่ามันซิงค์ได้ไหม
เมื่อความฝันของคุณอยู่ในข่ายที่ซิงค์ได้แล้ว ขั้นต่อมาก็คือเอามันซิงค์กับความจริง
ง่าย ๆ แค่นั้นเองครับ

เรามักจะเห็นความฝันชัดเจนในยามหลับ แต่เจือจางในยามตื่น เพราะอะไร เพราะโลกแห่งความจริง มีอุปสรรค มีปัญหา มีเรื่องต้องเร่งรีบทำเฉพาะหน้า มีเรื่องต้องทุ่มความสนใจ มีแรงเสียดทาน ตอนนี้เราไม่ใช่เด็กแล้วไงครับ ที่บ้านเราไม่มีธนาคารแล้ว บางคนกลายเป็นธนาคารด้วยซ้ำไป

บางทีโลกแห่งความจริงก็เข้มข้นเกินไปครับ

เราอาจต้องมองโลกแห่งความจริงแบบลำเอียงดูบ้าง มองหาช่องโหว่ในชีวิต โอกาสที่จะทำ เมื่อมองเห็นแล้วแม้จะด้วยสายตาที่ลำเอียง รีบตะครุบมันเอาไว้ ลงมือทำ

กินช้างทั้งตัวให้หมด ต้องกินทีละคำ

ความฝันก็เหมือนกัน บางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ถ้าคุณมองดูมันต่อให้นอนดู ก็เมื่อยได้

ซอยมันเป็นชิ้นเล็ก ๆ ซิครับ เราอาจจะทำมันไม่สำเร็จในทันทีทันใด แต่คุณค่อย ๆ ทำได้ครับ
เวลาเราเล่นเกมส์ภาษา (RPG) พวกไฟนอลแฟนตาซีอะไรพวกนี้ ตัวละครของเราจะมีภารกิจที่ต้องผ่านเหมาะสมกับเลเวลของมัน
คุณทำความฝันให้สำเร็จได้ด้วยการกำหนดเลเวลให้มันครับ แล้วทำให้สำเร็จทีละเลเวล
ถ้าคุณฝันอยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทยไปเตะบอลโลก ต้องทำยังไงครับ
เตะให้มันชนะแถวบ้านก่อน แล้วค่อยกีฬาสีโรงเรียน ทำไปทีละเลเวล วันหนึ่งข้างหน้าความฝันของคุณอาจสำเร็จก็ได้ ผมใช้คำว่า “อาจจะ” นะครับ เพราะมันอาจไม่สำเร็จก็ได้ แต่จะแคร์ไปทำไม ครั้งหนึ่งในชีวิตคุณได้พยายามทำแล้วนี่ครับ
ฝันใหม่อย่างอื่นก็ได้นี่ คุณอาจไม่เหมาะกับนักฟุตบอลก็ได้ หรือถ้าคุณไม่รู้จะฝันอะไร ผมให้ยืมก็ได้ครับ
เป็นนายพรานเอามั้ยครับ พอดีฝันนี้ผมไม่ได้ใช้

อ้อ อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยนะครับ เวลาทำสำเร็จไปหนึ่งเลเวล

คุณอาจไม่รู้อะไรบางอย่างว่า เราทุก ๆ คนล้วนมีโลกเป็นของเราเองคนละใบ เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนั้น วิ่งตามความฝันบ้าง หลงทางอยู่ในความจริงบ้าง โลกของเราหมุนรอบตัวเรา มีชีวิตของเราเป็นแกนโลก แต่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในชีวิตเรานั้น โลกของเราที่โคจรหมุนไปนั้น ผ่านมาทาบทับกันในบางช่วงเวลา บางครั้งก็เคลื่อนมาปฏิสัมพันธ์กัน บางครั้งก็ใช้แกนหมุนร่วมกัน แต่อย่างไรก็ตามรู้ไว้เถอะครับว่าการปะทะกันในบางครั้งของโลกส่วนตัวแต่ละคน อาจนำมาซึ่งการเติมเต็มความฝันให้กันและกัน

เราทุกคนล้วนเคยเป็นส่วนหนึ่งในการทำความฝันของคนอื่นเป็นจริง

ถ้าคุณเดินไปในเซเว่นแล้วหยิบชาเขียวโออิชิขึ้นมากิน (แน่นอนต้องจ่ายตังค์ซื้อก่อน) คุณทำให้ความฝันของคุณตันเป็นจริงแล้วครับ
คุณซื้อแผ่นซีดีเพลงของบร๊ะเจ้าโจ๊กโซคูล คุณทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงแล้วครับ

ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เราต่างเกื้อกูลกันให้ถึงฝันของกันและกัน

กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญครับ แต่ถ้ายังไม่มีคนให้เรา เราก็ให้ตัวเราเอง
อย่ากลัวที่จะทำมันขึ้นมา เพราะมีคนจำนวนมากพร้อมที่จะไม่รู้ว่าเป็นตัวเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฝันเราสำเร็จ
ให้กำลังใจตัวเองครับ

ผมก็มีความฝัน
และตอนนี้เมื่อคิดได้ตามนั้น ผมก็มีกำลังใจครับ

ถ้าคุณเป็นคนเคยฝัน เคยอยาก ผมแนะนำสองอย่างนะครับ ถีบตัวเองลุกขึ้นมาทำความฝันให้เกิดขึ้น หรือไม่ก็หาใครซักคนถีบคุณขึ้นมา
อันนี้พูดจริง บางครั้งเราถีบตัวเองไม่ขึ้น คุณต้องหาใครซักคนหนึ่งมาช่วยถีบ อาจเป็นคนที่คุณจะแชร์ความฝันกับเขาได้ เล่าความฝันให้เขาฟัง เพื่อให้เขาช่วยกระตุ้นคุณ ให้กำลังใจคุณ เขาอาจจะเป็นเพื่อน เป็นแฟน เป็นพ่อเป็นแม่คุณก็ได้

บางครั้งผมก็ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังว่าผมฝันอยากเป็นอะไรเพราะกลัวว่าในมุม มืดของใบหน้า เขาจะแอบหัวเราะเยาะเอา แต่บางครั้งผมก็ตัดสินใจเล่าให้บางคนฟัง เพื่อเผาสะพานตัวเอง ไม่ให้ถอยหลังกลับอีกต่อไป

ก็มันดันประกาศไปแล้ว ยังไงก็ต้องทำให้ได้ กดดันตัวเองบ้างก็ดี

หรือคุณอาจจะให้ศัตรูหรือคู่แข่งคุณถีบคุณก็ได้

อ้าว ทำเป็นเล่นไป หลายคนประสบความสำเร็จเพราะมีคู่แข่งที่ดีนะครับ ดูอย่างโอลิเวอร์ คาห์นกับ เยนส์ เลห์มันซิครับ สองคนนี้เป็นสุดยอดผู้รักษาประตูแห่งยุคของเยอรมัน แต่ฟ้าให้เลห์มันเกิดมาใยถึงส่งคาห์นมาด้วย เลห์มันต้องเป็นมือสองอยู่ร่ำไป แต่เขาไม่สนใจ เขาซ้อม ๆ ๆ แล้วก็ซ้อม สองคนนี้ไม่ถูกกันนะครับ เพราะความที่ชิงกันเป็นที่หนึ่ง เหมือนฟ้าจะแกล้งเลห์มัน คือถ้าคาห์นไม่เจ็บไม่ตายไปซะก่อนยังไงซะเขาก็เป็นมือหนึ่งจนรีไทร์นั่นแหละ แต่สุดท้ายโอกาสก็มาถึงวันที่โค้ชเลือกที่จะให้โอกาสเลห์มันทดลองเป็นมือ หนึ่งแทน เขาได้โอกาส และเขาฉวยมันไว้ได้ เพราะแรงถีบของคู่แข่งเขา ภาพแห่งความประทับใจของแฟนบอลครั้งหนึ่งในการดูบอล คือนัดที่เยอรมันต้องดวลลูกจุดโทษกับใครซักทีมหนึ่งนี่แหละ แล้วคาห์นเดินมาจับมือเลห์มันและให้กำลังใจประมาณว่า “กูเชื่อ มึงทำได้” ทำให้น้ำตาลูกผู้ชายอย่างเรา ๆ ซึมออกมาได้ นับจากนั้นมาเลห์มันก็เป็นมือหนึ่งทีมชาติแทนคาห์นจนรีไทร์ไปทั้งสองคน

เลห์มันเคยหล่นคำให้สัมภาษณ์ไว้ประมาณว่า ความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะโอลิเวอร์ คาห์นทำให้เขามีวันนี้
ทั้งสองคนนี้เป็นศัตรูคู่แข่งกันในชีวิตแต่ต่างยอมรับซึ่งกันและกัน
และในวันเวลาใดเวลาหนึ่งที่ผ่านมา โลกของเขาต่างโคจรมาทาบทับกันและช่วยกันทำให้ฝันของอีกฝ่ายเป็นจริง

มาถีบกันและกันเถอะครับ
เพื่อให้ความฝันมันซิงค์กับความจริง

ตอนนี้ผมก็มีความฝัน เป็นความฝันที่ผมเพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่นายพราน ไม่ใช่นักสนุ้กเกอร์ แต่เป็นความฝันที่คิดเอาไว้ว่ายังไง ๆ ให้ตาย ชีวิตนี้ก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้

แต่ที่ผ่านมาผมทำมันไม่สำเร็จ

ความผิดพลาดอย่างหนึ่งในชีวิตผมคือ (คิดว่า) เกิดมาเป็นพวก Perfectionist
ถ้าจะทำอะไรที่อาจจะออกมาไม่สมบูรณ์ ส่วนใหญ่แล้วผมจะเลื่อนมันไปทำทีหลัง แล้วไปทำสิ่งที่มีค่าและสำคัญกว่าในชีวิตก่อน
ตัวอย่างเช่น หาทางแก้ไขปัญหาความตกต่ำของลีเวอร์พูล มองหาผู้จัดการทีมดี ๆ ที่จะมาคุมทีมรักของเราให้ได้แชมป์ วิเคราะห์ว่าปีนี้ใครจะได้รางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หนังสือเล่มไหนจะได้รางวัลซีไรท์ประจำปี ใครจะขึ้นรับรางวัลอิกโนเบลในปีนี้ ซัดดัม ฮุสเซนตายแล้วจริง ๆ หรือ ปัญหาภาคใต้จะแก้ยังไง และอนาคตทางออกการเมืองไทยจะเป็นยังไงต่อไป

“ไม่ perfect ไม่ Launch ออกมา” หนึ่งในครีมบำรุงหน้าที่ทำให้ผมใช้ (อ้าง) เพื่อรักษาหน้า มากกว่ารักษาใจ

แต่นั่นคือที่ผ่านมา
กรุณาย้อนกลับไปอ่านตอนต้นอีกครั้ง ผมโมโหมากที่ถูกถามคำถามนี้ “แล้วตอนนี้คุณทำอะไรอยู่”
เปล่าผมไม่ได้โมโหนิ้วกลม ผมโมโหตัวเอง โมโหจนทนตัวเองไม่ไหวแล้ว

จริงอยู่ที่เช กูวาร่าตายไปแล้ว แต่ความฝันของเขาไม่ได้ตายตามไปด้วย (อย่างน้อยเขาก็ถูกจารึกไว้ท้ายสิบล้อล่ะน่า)
แม้วิลเลี่ยม วอลเลซจะสิ้นชีพบนลานประหาร แต่ถ้อยคำ Freedommmmm. ของเขาทำให้ความฝันของเขาที่จะปลดปล่อยอิสรภาพให้กับสก็อตแลนด์ไม่ตายจากไป

ใช่

ความฝันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่ไม่มีวันตาย แต่กลับถูกทำลายด้วยการเลื่อนไปทำวันพรุ่งนี้แล้วกัน

พรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง

“พรุ่งนี้แล้วกันนะ” ช่างเป็นถ้อยคำที่เป็นดังอาวุธร้าย ทรงพลานุภาพ ทำลายทุก ๆ ความฝันที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ ที่ตลกร้ายกว่านั้น คือคนทำลายคือเจ้าของมันเอง

ถ้าหากเปรียบความฝันของคนเราเหมือนทารกน้อยที่เราให้กำเนิดขึ้นมา เราก็อยู่ในสถานะพ่อแม่ มีหน้าที่ต้องดูแลเอาใจใส่ เลี้ยงดูให้เติบโต เราคงไม่สามารถหวังให้เขาเป็นผู้ใหญ่ได้ในวันเดียว ทุกอย่างต้องใช้เวลา
ขอแค่คุณเลี้ยงเขาให้ดี อย่าทิ้งขว้าง อย่าละเลย ไม่ใยดี เมินเฉย ตามมีตามเกิด อย่าสปอยล์จนเคยตัว อย่าโอ๋จนหลงระเริง แต่สนับสนุนเขา เกื้อหนุนเขา ฝึกฝนเขา และให้กำลังใจเขา

วันหนึ่งเขาจะเติบโตขึ้นจากเด็กน้อยนามว่า “ความฝัน” กลายเป็นหนุ่มใหญ่ นามว่า “ความจริง” ได้

แต่ถ้าไม่อย่างนั้น คุณอาจเผลอกลายเป็น “พ่อแม่รังแกฝัน” โดยไม่รู้ตัว

ผมก็มีความฝัน

เมื่อสายตาของคุณส่งสัญญาณบอกสมองคุณว่าได้อ่านมาถึงประโยคนี้แล้ว ผมต้องขอขอบคุณพวกคุณทุกคน (ซึ่งอาจมีหลายคน) เพราะโลกของคุณได้โคจรมาทาบทับโลกของผมในช่วงเวลาหนึ่ง
และคุณเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมได้วางฝ่าเท้าของก้าวแรกลงบนพื้นโลกแล้ว ที่เหลือต่อไปคือการก้าวต่อ
เมื่อคุณเริ่มอ่านตั้งแต่ต้นจนถึงตอนจบ
ผมก็มีความฝันครับ และตอนนี้มันซิงค์กับความจริงแล้ว แม้จะแค่เลเวลแรก แต่มันก็ห่างไกลจากเลขศูนย์มากขึ้นแล้ว
ขอบคุณครับ

แล้วผมฝันอยากเป็นอะไรเหรอ? ก็นั่นไงครับที่คุณอ่านมา
ความฝันผมออกมาอยู่ที่มือและเท้าแล้ว คุณล่ะ มันอยู่ที่ไหน?




ปล. 1 พยายามคิดชื่อคอลัมภ์ไว้หลายอย่าง แต่ยังไม่ถูกใจ จะ "ลังเลเรียบเรียง" หรือจะเป็น "อิหลักอิเหลื่อเรียบเรียง" "ลักลั่นเรียบเรียง" ... แต่ดูแล้ว แ่ต่ละชื่อไม่ได้มีความมั่นใจเลยซักนิด
ตอน นี้จึงขอใช้ชื่อ "เรียบเรียงเรื่อยเปื่อย" ไปก่อน จนกว่าจะเจอชื่ออื่นที่ถูกใจแล้วค่อยเปลี่ยน (มีใครเขาทำกันอย่างนี้บ้างไหมเนี่ย)

ปล. 2 ตอนแรกตั้งใจจะเขียนสั้น เขียนไปเขียนมา ยาวจนได้ ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Prince of Persia : The Sands of Time ถ้ามีทรายแห่งกาลเวลาจริง คงต้องใช้กับเรื่องนี้ก่อนเลย

รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญของเรื่อง

หนัง Action-Adventure ที่สนุกที่สุดและดีที่สุดในชีวิตการดูหนังของผมยังคงเป็น Raiders of the Lost Ark ผลงานของสปีลเบิร์กเรื่องนั้นนั่นแหละครับ

สำหรับ Prince of Persia ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะดียอดเยี่ยมเท่ากับผลงานของสปีลเบิร์กเรื่องนั้น แต่ก็หวังว่าหนังจะตอบโจทย์ความสนุกสนาน ตื่นเต้น ฮา และอารมณ์กุ๊กกิ๊กหยิกกัดของพระเอกนางเอกของเรื่อง ซึ่งเป็นสเน่ห์ของหนังสไตล์นี้

อย่าง Indiana Jones กับ Marion Ravenwood หรือ Richard O'Connell กับ Evelyn Carnahan ใน The Mummy

น่าเสียดายเหมือนกันที่ประสบการณ์การไปดู Prince of Persia เรื่องนี้อาจไม่ถึงกับเสียดายเงิน แต่ก็ไม่รู้สึกเต็มที่ไปกับหนังซักเท่าไหร่ ยิ่งโดยเฉพาะต้องโดดบอลโลกไปดูหนังด้วยแล้ว อาจทำให้ผิดจากที่หวังมานิดหน่อย


เป็นหนึ่งในหนังที่สร้างจากเกมส์อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสำหรับคอเกมส์รุ่นเก่าหน่อย (หรือแม้แต่รุ่นใหม่ ๆ ก็ตาม) คงจะรู้จักเกมส์นี้เป็นอย่างดี เพราะในยุคเกมส์รุ่นเดียวกันแล้ว Prince of Persia เป็นเกมส์ที่มีจุดเด่นกว่าเกมส์อื่นก็ตรงรายละเอียดการเคลื่อนไหวของร่างกายตัวละครเนี่ยแหละ

เพราะขณะที่เกมส์ในยุคนั้นมีแค่เดิน วิ่ง กระโดด แต่ Prince of Persia มีทั้งเดิน วิ่ง กระโดด หมอบ เกาะขอบเหว กำแพง ปีนป่าย ซึ่งเป็นจุดเด่นให้เกมส์ยืนอายุมาถึงทุกวันนี้ได้

แปลกใจกว่าจะได้ขึ้นจอ ทำไมใช้เวลานานจัง จน Tomb Raider มาทีหลัง ยังมาแล้ว (2 ภาค) และก็ไปแล้ว



หนังเป็นผลงานกำกับของ Mike Newell และอำนวยการสร้างโดย Jerry Bruckheimer สองชื่อนี้ช่วยเรียกคนได้ในขั้นแรก หลังจากนั้นก็ว่ากันที่พลังของตัวหนังเองล้วน ๆ แล้วแต่ใครจะชอบ

เรื่องราวของเจ้าชายแห่งอาณาจักรเปอร์เซีย ที่ไม่ได้ได้มาโดยสายเลือดแต่กำเนิด แต่มาจากการแสดงความกล้าหาญให้ประจักษ์ (โดยบังเอิญ) ต่อหน้ากษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ทำให้ Dastan (Jake Gyllenhaal) ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าได้รับการอุปการะในฐานะโอรสคนหนึ่งของกษัตริย์ และได้เป็นหนึ่งในเจ้าชายแห่งเปอร์เซีย โดยนอกจากเขาแล้วยังมีบุตรแท้ ๆ อีก 2 คนคือ Tus และ Garsiv

และยังพ่วงด้วยนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง Ben Kingsley ที่มารับบท Nizam ลุงเทียมของแดสตัน

จากการตัดสินใจโดยพละการของ Tus กองทัพเปอร์เซียจึงได้บุกเมืองต้องห้ามและทำให้พระเอกได้ตกกระไดพลอยโจนมาจับคู่กับนางเอกของเรื่อง เจ้าหญิง Tamina (Gemma Arterton) จากเหตุการณ์พลิกผันที่ Dastanไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน

Dastan และ Tamina ต้องร่วมกันปกป้องกริชวิเศษที่มีพลังในการปลดปล่อย "ทรายแห่งกาลเวลา" (ตามชื่อเรื่องนั่นแหละ) เครื่องมือของเทพเจ้าที่ทำให้ผู้ที่ครอบครองมีอำนาจในการควบคุมเวลาได้

แล้วยังไงล่ะ...ก็แน่นอนพระเอกนางเอกก็ต้องมีหน้าที่ปกป้องโลกนี้ให้พ้นจากเงื้อมมือของผู้ร้ายของเรื่อง



สิ่งที่เป็นจุดด้อยของหนังเรื่องนี้คือ

1. ความกล้าหาญของพระเอกมันหน่อมแน้มไปหน่อย เกินกว่าจะคิดได้ว่ากษัตริย์จะรับเขามาเป็นโอรสคนหนึ่งได้ และแม้ว่าโตขึ้นหนังจะบอกว่า Dastan เป็นคนที่กล้าหาญ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นอย่างหนักแน่นซักเท่าไหร่


2. ตัวร้าย ดูออกง่ายไปหน่อย ถ้าหนังไม่เล่นประเด็นสร้างความไขว้เขวแล้วหันไปชกแบบหมัดตรงแทนเลยน่าจะดีกว่า เพราะพอเล่นสร้างประเด็น แล้วพอเฉลยออกมาก็ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นอยู่แล้ว เหมือนรู้ ๆ กันว่ายังไงก็ต้องมาประมาณนี้

3. หนังมาในสไตล์ของดิสนีย์มากเกินไป ปลอดภัยไว้ก่อน (Play safe) บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น รักษาน้ำใจของคนดู ถ้าจะมีใครต้องตาย ก็กลัวจะบอบช้ำเกินไป ทำให้บทสรุปของหนังไม่สร้างความทรงจำซักเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่หนังพาเรื่องราวมาไกลแล้ว

4. วินาทีที่เห็น Gemma Arterton ปรากฏตัวในมาดเจ้าหญิงผู้มีความหยิ่งทรนงและความมั่นใจในตัวเอง ผมนึกว่าอาจจะได้เห็นแคแรกเตอร์แบบ รพินทร์ ไพรวัลย์ กับ คุณหญิงหมอดาริน วราฤทธิ์ บนจอซะแล้ว

ช่วงแรกหนังทำให้มีความหวัง Gemma รับบทได้สมกับมาดของเจ้าหญิงผู้แบกรับหน้าที่สำคัญไว้ และก็ร้ายได้น่ารักน่าชัง แต่หลังจากนั้นสเน่ห์ของเธอก็ค่อย ๆ ลดระดับลงไปตามกาลเวลา

รวมทั้งการรับส่งบทของพระเอกและนางเอก ที่น่าจะสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้มากกว่านี้ แต่กลับทำได้แกน ๆ ไม่สุด ไม่ถึง ไม่โดน ซึ่งเป็นส่วนที่น่าเสียดายที่สุดของหนังเลย



5. ฉากแอคชั่นที่ผู้สร้างบอกว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปะการป้องกันตัว (เรียกอย่างนี้ได้ไหมหว่า) Parkour (หาดูได้จาก Youtube...เยอะมาก) นั้นก็ไม่ได้สร้างภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจและหวือหวาได้อย่างที่โฆษณาเอาไว้ จนไม่สามารถทำให้เรารู้สึกได้ว่านี่คือสิ่งใหม่ ไม่เคยขึ้นจอมาก่อน พูดง่าย ๆ ว่าธรรมดาไปหน่อย


ส่วนฉากต่อสู้แนวฟันดาบถือว่าเอาตัวรอดได้ในระดับที่ไม่ได้สร้างปรากฏการณ์แต่อย่างใด



ส่วนที่เป็นข้อดีของหนังคงหนีไม่พ้นงานโปรดักชั่นและเทคนิคการสร้าง ภาพมองจากที่สูงมุมกว้างให้ความรู้สึกได้สมจริง การถ่ายภาพทะเลทรายก็ได้ภาพที่สวยงาม

การแสดงของ Jake ในเรื่องนี้ได้แค่ผ่าน แต่ยังไม่สามารถทำให้ตัวละครตัวนี้มีลูกเล่นที่แพรวพราว ทั้งทักษะการต่อสู้และบุคคลิกที่แสดงออกมานั้น คงทำให้ตัวละครตัวนี้อยู่ในความทรงจำได้แค่ชั่วระยะหนึ่ง


สิ่งที่เป็นข้อดีของ Jake ถ้าจะมีใครที่รูปร่างหน้าตาเหมาะกับบทเจ้าชายเปอร์เซียมากที่สุดแล้วก็คงเขานี่แหละ (แต่ก็ไม่แน่ ถ้าเป็น Orlando Bloom อาจจะสู้ได้ก็ได้)

Gemma Arterton ได้รับบทเด่นในหนังแอคชั่นปีนี้ถึง 2 เรื่อง เห็นได้ชัดว่าสำหรับเรื่องนี้เธอทำได้ดีกว่า ซึ่งจริง ๆ แล้วเธอรับบทนี้ได้มีสเน่ห์ดี แต่ปัญหาคือบทภาพยนตร์ไม่ได้ส่งให้ตัวละครตัวนี้ไปถึงจุดสูงสุดได้ในระหว่างการดำเนินเรื่องราว

Ben Kingsley ในช่วงขาลงของชีวิต กับบทบาทในเรื่องนี้ ไม่ได้มีอะไรย่ำแย่ แต่ก็เช่นเดียวกันที่ไม่ได้เป็นบทที่มีอะไรให้จดจำซักเท่าไหร่


ในช่วงเวลาที่หนังแนวนี้หลังจากหมดเรื่อง The Mummy ไปแล้ว (อย่าไปนับ Tomb of the Dragon Emperorนะ) ก็ไม่มีหนังดี ๆ แนวนี้ออกมาเลย Prince of Persia ถือว่าคั่นเวลาได้อย่างเคอะเขิน หนังให้ความสนุกได้ในระดับหนึ่ง และอาจจะถูกใจคอหนังหลายคนที่ไม่มีหนังแนวนี้ให้ได้ดูเยอะนักในช่วงหลัง ๆ

แต่กับโปรเจกต์ทุนยักษ์ 200 ล้าน และเครดิตผู้สร้างอย่างนั้นแล้ว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนดูหนังส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเรื่องนี้ทำออกมายังไม่สมราคา

เป็นหนังประเภท "ดูจบแล้ว ก็แล้วกัน"

จากความหวังว่าจะเป็นหนังภาคต่อคุณภาพเรื่องใหม่ของดิสนีย์ แต่เมื่อเหลือบมองไปที่ boxoffice แล้วคงต้องบอกว่าหมดหวัง (สำหรับผู้สร้างคงผิดหวัง)

จริง ๆ แล้วถ้าเรื่องนี้ไม่ได้ฉายในช่วงซัมเมอร์ซึ่งเป็นฤดูฉายของหนังฟอร์มยักษ์ที่ทุกเรื่องมาพร้อมความคาดหวังจากคนดู โดยเฉพาะถ้าเป็นหนังแอคชั่นด้วยแล้ว ต้องมันส์สุด ๆ แล้วไปฉายในช่วงเวลาอื่นแทน

หนังเรื่องนี้ก็ยังถือว่ามีคุณภาพในระดับ 100 ล้านได้ไม่ยาก แต่จะให้เกิน 200 ล้าน อาจจะหืดจับสุด ๆ

นิยามของ Prince of Persia : The Sands of Time นั้นจึงออกมาว่าเป็นหนังที่ "ธรรมดาเกินไป" ดูก็ได้ไม่เสียดายเงิน พลาดไปรอแผ่นก็ไม่ได้เสียดาย

เสียดายก็แต่เจ้าหญิง Tamina เนี่ยแหละ คงต้องรออีกซัก 10 ปี จนลืม ๆ กันไปแล้ว ค่อยนำมาสร้างใหม่อีก


ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แล้ว Mike Newell แก้ไขไอ้โน่นนิดไอ้นี่หน่อย เกลาบทซักนิด หนังอาจออกมาเกินธรรมดาได้สมกับเรื่องมหัศจรรย์ในหนังแล้ว และรายได้คงไม่ออกมาแป้กแบบนี้

บางทีฮอลลีวู้ดก็อยากจะหวังพึ่งปาฏิหารย์ของ "ทรายแห่งกาลเวลา" บ้างเหมือนกัน

ผมให้คะแนนเรื่องนี้ 6.5/10 ครับ

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Who are you....ใคร....ในห้อง ไม่รู้สนุกกว่ารู้นะ


ส่วนแรกจะเป็นรีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญของเรื่องนะครับ สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูเรื่องนี่้
แล้วเดี๋ยวส่วนหลังจะเป็นการคุยแบบสปอยล์ละเอียดยิบ ถ้าดูแล้วก็มาคุยกัน

นับแต่ยุคที่ Sixth Sense สร้างปรากฏการณ์หนังหักมุม หลอกคนดู และหนังทำรายได้ถล่มทลาย ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่คนดูกลับเข้าไปดูหนังกันใหม่เพื่อจะเก็บรายละเอียดที่มองข้ามไป ซึ่งสำหรับ Sixth Sense นั้นหนังทำออกมาได้ดีเยี่ยมทั้งในด้านเนื้อหา บรรยากาศ การแสดง และทั้งในอารมณ์ของดราม่า และสยองขวัญ และก็หักมุมได้เนียนตา

ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นเรื่องท้าทายของผู้สร้างหนัง ทั้งโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ หรือผู้เขียนบท ที่พยายามหาเนื้อหา เรื่องราว หรือวิธีการเล่าเรื่อง ที่จะทำให้หนังออกมาหักมุมได้สาแก่ใจคอหนังประเภทนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหนังอารมรมณ์ Thriller , Suspense หรือ Horror



Who are you ใคร...ในห้อง เป็นโปรเจกต์ความพยายามเรื่องล่าสุด ที่มีหน้าหนังที่น่าสนใจ และดึงดูดคอหนังประเภทนี้อย่างมาก

อาการแยกตัวออกจากสังคม ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เล่นเกมส์ ดูหนัง ไม่สังสรรค์กับใคร หรือที่เรียกว่า "ฮิคิโคโมริ" ถ้าเอามาขยายความแล้วสร้างเป็นหนังลึกลับ คงไม่มีอะไรน่าสนใจเท่านี้อีกแล้ว

และคำถามว่า "แน่ใจหรือว่าหลังประตูยังคือคนที่คุณคิด?" ที่ใช้เป็นคำโปรยบนโปสเตอร์ ยิ่งทำให้หนังมีบรรยากาศที่น่าสงสัย

แต่น่าเสียดายที่ส่วนที่ยากที่สุดของหนังประเภทนี้คือ การคิดตอนจบให้หักมุม หรือหักหลังคนดู แล้วทำให้คนดูอุทานออกมาได้ว่า "เฮ้ย....สุดยอดดดดด" ไม่ใช่ "เฮ้ย...อะไรว่ะ เล่นยังงี้เลยเหรอ" คือให้อารมณ์ ทึ่ง ไม่ใช่ เหวอ

แล้วยังกองทัพหนังหักมุมที่ทยอยออกกันมาทั่วทั้งโลกนั้น ยังเป็นภาระหนักแก่คนเขียนบทที่ต้องสรรหาตอนจบให้สร้างสรรค์ ไม่ซ้ำซากกับหนังเรื่องอื่น...ซึ่งมันจะเหลืออีกซักเท่าไหร่เชียว

ข่าวดีคือหนังเรื่องนี้หามุกใหม่มาเล่นได้ ข่าวร้ายคือ เหวอ

Who are you ใคร...ในห้อง กำกับโดยผู้กำกับภาคภูมิ วงษ์จินดา ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานเดียวกับเรื่องฟอมาลีแมน , รับน้องสยองขวัญ และ วิดีโอคลิป ซึ่งเห็นได้อย่างหนึ่งว่า คุณภาคภูมิมักหยิบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมมาสร้างเป็นหนัง เช่น การรับน้อง และวิดีโอคลิป เป็นต้น

หนังเล่าเรื่องของนิดา (สินจัย เปล่งพานิช) แม่ค้าขายหนังโป๊ ที่อาศัยอยู่กับลูกชายชื่อ ต้น แม้เธอจะอยู่กันเพียงแค่สองคนแม่ลูก แต่เธอกลับไม่ได้เจอหน้าของลูกชายมานานแล้ว เพราะต้น มีอาการของ "ฮิคิโคโมริ" เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เล่นแต่เกมส์ ไม่ออกมาข้างนอกนานถึง 5 ปีแล้ว

การติดต่อสื่อสารกันระหว่างผู้เป็นแม่กับลูกชายนั้น มีเพียงแค่กระดาษที่สอดผ่านใต้ประตูเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอแน่ใจว่าลูกของเธอยังมีชีวิตอยู่



แต่เมื่อโดม (สตาร์บัคส์-พงศ์พิชญ์ ปรีชาบริสุทธิ์กุล) ครีเอทีฟรายการหนุ่ม ที่เป็นลูกค้าขาประจำของนิดา เริ่มสนใจในเรื่องนี้ และคิดว่าจะเอาเรื่องของต้นไปทำเป็นสกู๊ปรายการ ทำให้เิกิดเรื่องที่คาดคิดขึ้น

ป่าน (ตาล กัญญา รัตนเพชร์) หญิงสาวที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเพราะป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ขั้นรุนแรง ซึ่งอาศัยอยู่บ้านตรงข้าม ได้เห็นความเป็นไปของห้องต้นผ่านหน้าต่างห้องของตัวเอง




ความสงสัยของโดม และการเข้ามาพัวพันโดยบังเอิญของป่าน นอกจากนั้นยังมีโอ๊ต มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่มีงานอดิเรกคือการย่องเบาบ้านคนละแวกนั้น ทำให้เรื่องราวขมวดปมจนพาไปถึงบทสรุปของคำถามเดียวกับชื่อหนังคือ ใคร (กันแน่ที่อยู่) ในห้อง

หนังมีองค์ประกอบที่ดีในการสร้างเรื่องราวชวนสงสัยและได้นักแสดงมีฝีมืออย่างคุณสินจัยมาร่วมแสดง อีกทั้งนักแสดงหน้าใหม่อย่างสตาร์บัคส์ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี

แต่น่าเสียดายที่การกำกับการแสดง ทำให้คุณสินจัยแสดงในหนังเรื่องนี้บางตอนออกมามากเกินไป แสดงอารมณ์มากเกินไปหน่อย หรือที่เรียกว่าโอเวอร์แอคติ้ง

ฉากบางฉากหนังต้องการจะทำให้คุณสินจัยแสดงออกมาให้น่าสงสัยว่าใครกันแน่ที่อยู่ในห้อง ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้ มันทำให้หนังลดความมีระดับลง



ส่วนคุณสตาร์บัคส์ก็น่าเสียดายที่หนังให้เขามีบทน้อยไปหน่อย ทั้ง ๆ ที่ถ้าให้เขาอยู่บนจอนานกว่านี้ หนังจะสนุกมากขึ้น ถ้าให้เขาเป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก ที่ทำให้เรื่องราวขมวดปมไปจนถึงตอนเฉลยตอนสุดท้าย เรื่องคงจะมีความหลากหลายมากกว่านี้

และผมคิดว่าการแสดงในบทสำคัญของเรื่องเป็นเรื่องแรกของเขานั้น ทำได้ดีทีเดียว แสดงได้มีสีสันและเป็นธรรมชาติในแบบของเขา อารมณ์เหมือนดูคุณเรย์แสดงเป็นตัวของเขาเองในหนังที่เขาเล่นนั่นแหละ

น่าจะแจ้งเกิดจากเรื่องนี้ได้ไม่ยาก



ส่วนคุณตาลนั้น นอกจากการแสดงอาการคนเป็นโรคภูมิแพ้ที่ไม่สมจริงแล้วนั้นที่เหลือก็ไม่มีอะไรเลวร้ายแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังมีพลังมากขึ้นแต่อย่างใด

สำหรับในส่วนของหนังตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงท้ายเรื่องก่อนเฉลยนั้นหนังทำบรรยากาศออกมาได้ดี จะเห็นได้ว่าผู้กำกับมีพัฒนาการในการกำกับจังหวะของหนังมากขึ้น ไม่เชื่อลองเอาสองเรื่องก่อนหน้านั้นของผู้กำกับมาเปิดดูควบไปด้วยซิ

หนังยังมีจุดที่ละเลยความน่าเชื่อถือไป อย่างตอนเรื่องราวของโดม และตอนท้ายที่ตัวละครหนึ่งที่อยู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีที่มาว่า ทำไมอยู่ ๆ ถึงโผล่มา



และมีตัวละครที่ใส่เข้ามาในเรื่องแล้วไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์อย่างโปรดิวเซอร์ของโดมนั้น ก็น่าเสียดายที่น่าจะนำมาใช้สร้างเรื่องราวและมีส่วนร่วมในหนังได้มากกว่านี้

ฉากแฟลชแบ็คของเรื่องราวของต้น ก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ และยังทำให้คนดูไขว้เขวอย่างไม่เกิดประโยชน์กับตัวหนังแต่อย่างใด

แต่ข้อเสียใหญ่สุดของหนังก็คือตอนจบนี่แหละ ที่ทำให้คนดูส่วนใหญ่รับไม่ได้ นอกจากนั้นแล้วจังหวะในการจบยังดูกระโดดอยู่ ไม่ราบรื่นและทวีความตื่นเต้นได้มากพอ

ให้ลองดูตัวอย่างจากเรื่อง The Other และเรื่อง The Tale of Two Sisters หรือตู้ซ่อนผี เป็นตัวอย่างที่ดีได้ ทั้งสองเรื่องตอนก่อนที่จะเฉลย เราได้ดูและรู้แล้วว่าหนังมีความน่าสงสัยตลอดทั้งเรื่อง และเราจะได้รู้อะไรบางอย่างในตอนจบ แล้วพอตอนจบมาถึง จังหวะการเฉลยและการเร่งบรรยากาศไคลแมกซ์ทำให้เราตื่นเต้นและมีอารมณ์ร่วมได้ดี


ตรงนี้สปอยล์ละเอียดยิบ ใครยังไม่ได้ดูอย่าเพิ่งอ่านนะครับ





เห็นหลายคนดูหนังเรื่องนี้แล้วงง บางคนตีความไปได้แตกต่างกัน บ้างก็ว่าเป็นผี บ้างก็ว่าเป็นโรคจิต บ้างก็ว่าจินตนาการไปเอง

อันนี้ตามที่ผมเข้าใจ (ไม่ขอฟันธงว่าความคิดผมถูกหรือไม่นะครับ)

ต้องเข้าใจก่อนว่าหนังเรื่องนี้ เข้าใจว่าผู้กำกับมีเจตนาว่าจะฉีกตอนจบให้ไม่ซ้ำกับเรื่องอื่น

ที่ผ่านมาก็มักจะมีจบแบบบอกว่าเป็นผี หรือคิดไปเอง หรือเป็นโรคจิตเภท เรื่องนี้เหมือนจะพยายามคิดให้ฉีกนอกกรอบของเรื่องเดิม ๆ โดยดึงเอาเรื่องพลังแห่งความเชื่อ ความเชื่อที่ไม่มีข้อสงสัย ความเชื่อที่มาจากจิตของเรา จนสามารถทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้

หนังเริ่มเล่าเรื่องโดยดึงเอาเหตุการณ์ที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ชื่อโอ๊ตปีนข้ามไปแอบดูห้องต้นแล้วตกลงมาในบ้านของอาเจ๊กที่อยู่ข้าง ๆ แล้วโดนอาเจ๊กยิงตกลงมาบนรถยนต์หน้าบ้าน ซึ่งขณะนั้นเป็นตอนที่ป่านกำลังจะฆ่าตัวตาย ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่รู้เหตุผลว่าทำไม เสร็จแล้วหนังค่อยเล่าย้อนกลับไปต้นเรื่องใหม่อีกที

ซึ่งเป็นวิธีการเล่าเรื่องของหนังแบบหนึ่งที่ใช้วิธีดึงความสนใจคนดูตั้งแต่ต้นเรื่อง โดนเอาเหตุการณ์น่าสงสัยและตื่นเต้นบางตอนของหนัง ตัดมาเล่าตอนต้นเรื่องก่อน แล้วค่อยไปเล่าแบบเรียงลำดับเหตุการณ์ใหม่อีกที แล้วค่อยไปเฉลยรายละเอียดที่มาที่ไป

ล่าสุดที่เพิ่งดูมา Iris ก็เล่าเรื่องแบบนี้เหมือนกัน หรือยกตัวอย่างบางเรื่อง เช่น Mission Impossible 3 ก็เล่าเรื่องแบบนี้

ตรงนี้คนที่ไม่คุ้นเคยวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้อาจจะงงได้ ซึ่งถ้าได้ไปดูหนังอย่าง 21 grams หรือ Lost หรือ Memento ที่มีวิธีการเล่าเรื่องแบบไม่ตรงไปตรงมา อาจจะยิ่งงงมากกว่านี้

ต่อมาเรื่องก็เริ่มต้นเล่าตั้งแต่ นิดา แม่ค้าขายแผ่นหนังโป๊ มีลูกค้าขาประจำคือ โดม ที่เป็นครีเอทีฟรายการทีวี ได้แวะมาเที่ยวที่บ้านแล้วรู้เรื่องว่าลูกชายของนิดาหรือต้นนั้นไม่ได้ออกจากห้องมาเป็นเวลานานถึง 5 ปี ก็เกิดสงสัย แล้วไปศึกษาเพิ่มเติม พบว่าอาการประเภทนี้ที่ญี่ปุ่นมีเยอะ เรียกว่า "ฮิคิโคโมริ" เลยได้เป็นไอเดียเสนอหัวหน้า แล้วหัวหน้าก็บอกว่า ให้เอาเด็กนั่นออกมาจากห้องให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน



โดมเลยมาเสนอนิดาให้เอาต้นไปออกรายการ แต่ต้องให้ต้นคุยกับเขาก่อน ตรงนี้เอง ภายในความรู้สึกของนิดานั้นอยากจะให้ต้นออกมาจากห้องนานแล้ว แต่ต้นไม่ยอม พอโดมมาเสนอ นิดาก็เลยเอาด้วย แต่ปรากฏว่าเรื่องเลวร้าย คือต้นไม่ยอกออกแล้วดันตัดนิ้วตัวเองส่งออกมาให้แทน แล้วบอกว่าอย่ามาเสือกเรื่องของเขา นิดาเลยโมโหโดม พัลวันกันไปมา เลยพลาดตกบันไดไป ตอนนั้นเองต้นก็ออกจากห้องมาฆ่าโดมตาย นิดาก็หมดสติไป

โดมถูกฆ่าตาย แล้วก็ถูกตัดออกจากเรื่องไปเลย ทำให้หนังหลังจากนั้นขาดตัวเดินเรื่องที่ช่วยสร้างสีสัน เพราะหนังหันไปเล่นกับตัวละครของป่านแทน ซึ่งจริง ๆ แล้วตัวละครป่านเหมาะเป็นองค์ประกอบเสริมความสงสัยของเรื่องมากกว่าจะเป็นตัวหลัก

ในคืนเดียวกันกับที่โดมตาย มีขโมยปีนเข้าบ้านอาแปะที่อยู่ข้างบ้านนิดา พอวันรุ่งขึ้นตำรวจก็มาสืบสวนที่บ้านอาแปะ หนังทำให้รู้ว่าบ้านแถวนั้นมีหลังคาฝ้าติดกัน ปีนข้ามกันได้ แล้วตกเย็นตำรวจก็มาสอบถามที่บ้านนิดา แล้วได้ถามว่าตอนนี้สามีของนิดาอยู่ไหน นิดาบอกว่าตายไปแล้ว สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ป่านอยู่บ้านตรงข้าม ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ แม่เธอไม่ค่อยมีเวลาให้เธอเท่าไหร่ และเธอยังเห็นว่าแม่มีคนมาชอบพอและติดพัน เธอยังกลัวว่าจะต้องเรียกเขาว่าพ่อ

ป่านแอบเห็นห้องต้นที่ปิดหน้าต่างมืดทึบ มีเงาคนเดินไปมา ซึ่งหนังพยายามจะบอกว่ามีอะไรอยู่ในห้องจริง ๆ

หนังเปิดเผยให้เห็นว่านิดาไปเข้าร่วมกลุ่มสัมมนาที่ใช้ชื่อหัวข้อว่า"Who are you" ของสมาคมจีรัง ยั่งยืน และตอนหนึ่งในนั้นอาจารย์สุนีย์ เจ้าของสมาคมนี้ได้บรรยายถึงพลังแห่งความเชื่อ ว่าถ้าเราสามารถดึงเอามาใช้ได้ ถ้าเราอยากได้อะไร หายป่วย อายุยืนเป็นร้อยปี เราก็สามารถทำได้ทั้งนั้น
ตรงนี้เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่หนังใส่ไว้เพื่อจะเฉลยเรื่องในตอนจบ

นอกจากนั้นอาจารย์สุนีย์ยังพูดว่าเราต้องคิดเชิงบวก หากเราคิดด้านลบเมื่อไหร่ พลังความชั่วร้ายจะมาสู่ตัวเรา

แล้วก็ยกตัวอย่างแคทเธอรีน เซ็น ที่เป็นกระเทยแปลงเพศ ที่ถูกสะกดจิตให้เป็นคิดว่าเป็นผู้หญิง ซึ่งนั่นทำให้เธอใช้ชีวิตเหมือนผู้หญิงจริง ๆ เพราะเธอเชื่ออย่างนั้น มีประจำเดือน แต่งงานมีสามี แล้วก็มีลูก แม้จะไม่มีมดลูกจริง ๆ แต่พอเธอรู้ความจริง เธอก็รับไม่ได้ จนฆ่าตัวตาย หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง ลูกเธอก็สลายกลายเป็นฝุ่น

จำเรื่องตรงนี้ไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวค่อยพูดตอนท้ายอีกที

ต่อมานิดาเจอกับแม่ของป่าน และได้รู้ว่าป่านป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ขั้นรุนแรง รักษายังไงก็ไม่หาย เลยเอาใบปลิวเรื่องสมาคมจีรัง ยั่งยืนให้ และชวนให้ลองดู แม่ป่านไม่สนใจ แต่ป่านเหมือนจะสนใจ

ตรงนี้หนังทำให้เราเห็นสิ่งที่ขัดกันคือ แม่ป่านบอกว่ารักลูก พยายามทำทุกวิถีทางให้ลูกหายป่วย พาไปรักษาทุก ๆ ที่ที่มีความหวังว่าจะทำให้ลูกหาย แต่ตัวเธอก็กลับไม่มีเวลาให้ลูก ออกจากบ้านไปตอนเย็น ๆ โดยอ้างว่ามีนัดกับลูกค้า

ก่อนหน้านี้ก็มีฉากที่เธอคุยโทรศัพท์บนรถตอนที่จะพาป่านไปหาหมอฝังเข็ม ว่ามีคนโทรมาหาแล้วเธอบอกว่าวันนี้คงไปไม่ได้แล้ว เพราะจะพาลูกไปหาหมอ เอาไว้เจอกันวันหลัง ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นผู้ชายที่มาติดพันชอบพอกับเธอ ที่ตอนต้น ๆ เรื่องเราเห็นขับรถมาส่งที่บ้าน

ตรงนี้มีเหตุผลที่หนังจะเฉลยในตอนเกือบท้าย ๆ



ต่อมาหนังทำให้เห็นในเหตุการณ์แฟลชแบ็คว่านิดามีปัญหากับสามี แอบพบว่าสามีนอกใจ ส่วนสามีก็โมโหหาว่านิดาโรคจิตและทำร้ายนิดาแล้วก็กำลังจะไป โดยบอกว่าจะเอาต้นไปเลี้ยงเอง แต่นิดาไม่ยอม เอาปืนยกมาขู่ บอกว่าต้นต้องอยู่กับเธอ ตลอดเหตุการณ์นี้ต้นที่อยู่ในห้องก็แอบมองผ่านช่องไม้จากชั้นบน และได้ยินตลอดเวลา หนังตัดกลับมาให้เห็นว่านิดาร้องไห้เสียใจ

หนังทำให้เราสงสัยว่านิดาอาจจะยิงสามีตายในตอนนั้น

ที่กลุ่มวินมอเตอร์ไซค์ เราเห็นว่าโอ๊ตหนึ่งในวินมอเตอรไซค์เป็นคนที่ปีนเข้าไปขโมยของในบ้านอาแปะมาจ่ายค่าพนันบอล และมีประเด็นที่เม้าท์กันเรื่องที่ต้นไม่ออกจากห้องมาหลายปีแล้ว หนึ่งในนั้นก็ถามโอ๊ตว่ารู้บ้างหรือเปล่า เหมือนประมาณว่าโอ๊ตเคยเป็นเพื่อนต้นมาก่อน โอ๊ตบอกว่ามีคนลือกันว่าต้นออกจากบ้านช่วงกลางคืน

แล้วเขาก็รับอาสาจะสืบเรื่องนี้ให้



มาที่ฝ่ายป่านซึ่งงอนแม่ที่แม่ไม่มีเวลาให้ เอาแต่ไปเที่ยวกับแฟนใหม่ แล้วเธอก็ไปค้นในลิ้นชักแม่แล้วเจอหนังสือเลิกจ้างงานโดยบังเอิญ ทำให้เธอรู้ว่าแม่ไม่มีงานทำมานานแล้ว

ทำให้เธอรู้ว่าที่จริงแล้วที่ผ่านมาแม่ไม่ได้มีเงินแต่ยอมไปมีอะไรกับผู้ชายอื่น ๆ เพื่อนำเงินมาให้เธอรักษาตัว ซึ่งอันนี้เป็นการตีความของผมเอง จากที่เห็นว่าแม่ป่านแสดงออกว่าเป็นห่วงและรักลูก แต่ก็โกหกป่านว่าจะออกไปคุยกับลูกค้าตอนหกโมงเย็น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำงานแล้ว และการที่ต้องพาป่านไปรักษาที่นั่นที่นี่ก็มีค่าใช้จ่ายมาก ทำให้ผมเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วแม่ป่านได้เงินจากการยอมมีความสัมพันธ์กับเศรษฐีเพื่อนำเงินมารักษาป่าน

นั่นทำให้ป่านรับไม่ได้ เลยตัดสินใจฆ่าตัวตาย

เหตุการณ์มาบรรจบกันกับตอนต้นเรื่อง ขณะที่ป่านจะฆ่าตัวตายก็เป็นตอนที่โอ๊ตปีนข้ามหลังคาบ้านเข้าไปสืบที่ห้องต้น แล้วถ่ายรูปติดลูกตาของต้นมา เขาตกใจจึงถอยหนี มาเจอกับศพของโดมที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าและพลาสติกซ่อนไว้บนเพดานฝ้า ที่ผมรู้ว่าเป็นศพโดม เพราะตรงคางมีเคราอยู่ด้วย

แล้วโอ๊ตก็ตกใจพลัดตกลงมาในบ้านอาแปะ ซึ่งในขณะนั้นอาแปะนั่งถือปืนคอยดักรออยู่ เนื่องจากไม่ไว้ใจว่าจะมีใครปีนเข้ามาขโมยของอีกหรือเปล่า เลยขึ้นมายิงโดนโอ๊ตตกลงมาบนรถหน้าบ้าน

เหตุการณ์สัมพันธ์กับตอนต้นเรื่อง

ส่วนป่านที่หนังทำให้เห็นว่าเธอรักแมวตั้งแต่เด็ก ๆ เห็นแมวเดินหลงทางเข้าไปในบ้านต้น จึงออกไปตามหาแมว เป็นเวลาเดียวกับที่นิดารู้สึกไม่สบายใจและกลับมาบ้าน

อยู่ ๆ สามีนิดาก็กลับมาบ้าน ทำให้รู้ว่าเขายังไม่ตายแล้วสามีก็บอกว่าต้นตายไปแล้ว เขาอยากให้นิดายอมรับความจริงว่าต้นไม่ได้อยู่ในห้อง แล้วหนังก็เผยให้เราเห็นในห้องว่าจริง ๆ แล้วมีอะไรอยู่จริง ๆ

เป็นซากศพรูปร่างคล้ายกอลลั่มแห่งลอร์ดออฟเดอะริง แต่ในสายตาของนิดาเธอเห็นเป็นรูปร่างต้น

หนังบอกเราว่า การที่นิดามีความเชื่ออย่างไม่สงสัยว่าต้นยังไม่ตาย ทำให้เธอสร้างต้นขึ้นมาด้วยความเชื่อของเธอ เหมือนที่แคเธอรีนเคยเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้หญิงทำให้เธอมีลูกได้จริง ๆ ความเชื่อที่ไม่สงสัย จากจิตของเรา ทำให้อะไรก็เกิดขึ้นได้


ต้องบอกว่า เราต้องแยกระหว่างพลังจิต กับความเชื่อนะครับ อันนี้ต่างกัน นิดาไม่ได้ใช้พลังจิตสร้างอะไรขึ้นมา แต่เธอใช้ความเชื่อ ที่เธอเชื่อจริง ๆ เชื่อจากจิตใต้สำนึก เหมือนที่เธอเชื่อว่ากระดาษเป็นมีด ต่างกันนิดหน่อยนะครับ จำไว้่ว่าเธอไม่ได้มีพลังจิต

แล้วเธอก็ฆ่าสามีตัวเองตาย แต่ตอนที่ต่อสู้กันเธอพลัดตกบันได้ลงไป ส่วนป่านที่แอบหลบอยู่ในห้อง ก็ออกมาเห็นกอลลั่ม จึงตกใจ หนีเข้าห้องแล้วปีนขึ้นฝ้าเพดานไป อันนี้ไม่น่าเชื่อที่ผู้หญิงจะปีนขึ้นฝ้าเพดานได้ด้วยตัวเอง

กอลลั่มไล่ฆ่าเธอโดยเอาไม้แหลมไล่แทงฝ้าให้พังลงมา แล้วป่านก็พลัดตกลงมา โดยฝ้าเพดานหล่นลงมาเสียบอกของนิดาด้วย แล้วหนังก็ทำให้เห็นว่ากอลลั่มพยายามแทงป่าน ก่อนที่จะสลายกลายเป็นผงไป แล้วนิดาก็หลับตาลง เหมือนว่าจะตาย

หนังตัดมาให้เห็นตอนท้ายที่สมาคมฯ แม่ของป่านมาร่วมและกำลังดูใครซักคนที่ทรงผมรูปร่างคล้ายป่านถูกผูกตา และสาธิตวิธีใช้ความเชื่อตตัดดินสอด้วยกระดาษ เหมือนกับที่นิดาเคยมาเข้าร่วมดูตอนต้นเรื่อง แต่พอแกะผ้าผูกตาออก ปรากฏว่าไม่ใช่ป่าน

ตรงนี้หนังตั้งใจหลอกเรา คือสรุปว่าป่านตายไปแล้ว ตอนท้าย เราจึงเห็นว่าแม่ป่านเข้าร่วมสมาคมนี้เต็มตัว และมีความเชื่อเหมือนกับนิดา เธอสร้างป่านขึ้นมาและอยู่แต่ในห้องเหมือนต้น

ส่วนนิดาหลังจากฆ่าสามีตัวเองตายก็เข้าโรงพยาบาลบ้า แล้วก็มีตอนที่เธอเห็นว่ามีกระดาษลอดผ่านช่องประตูเข้ามาเขียนว่า ต้นรักแม่

ผมวิเคราะห์ว่านิดามีทั้งภาวะทางจิต และมีทั้งพลังแห่งความเชื่อ เธอยอมรับไม่ได้ว่าต้นตายไปแล้วตั้งแต่เหตุการณ์ทะเลาะกันกับสามีคราวนั้น เธอจึงจินตนาการว่าต้นยังอยู่ในห้องอยู่ แต่จากการที่เธอมีความเชื่ออย่างไม่สงสัย จากจิตของเธอ ทำให้มีต้นขึ้นมาจริง ๆ เพียงแต่ในสายตาของเธอ เธอเห็นเป็นต้นตลอด เพราะเธอมีภาวะปัญหาทางจิต แต่ในความจริงแล้ว ต้นเป็นแค่ร่างผีดิบเท่านั้น

คนที่ได้เห็นร่างผีดิบต้นมีสามคน คือ โดม พ่อต้น และก็ป่าน ทุกคนเห็นเหมือนกัน

ส่วนตอนท้ายผมวิเคราะห์เอาว่านิดาจินตนาการเอาเองว่ามีกระดาษที่เขียนว่า ต้นรักแม่ สอดเข้ามาใต้ช่องประตูมากกว่าจะคิดว่าเธอใช้ความเชื่อสร้างมันขึ้นมา

อย่างที่บอกแล้วว่ามีตอนที่ไม่น่าเชื่อถือที่หนังละเลยไป คือหลังจากโดมตายนั้น ไม่มีใครสนใจตามหาความจริง เหมือนจะถูกตัดทิ้งไปเลย ยากที่จะเชื่อได้ว่าคนหายไปทั้งคนจะไม่มีใครตามหาเลยเหรอ ถ้าให้โปรดิวเซอร์คนนั้นมาตามหา ตามสืบอาจจะดูสมจริง และทำให้หนังมีรสชาติมากขึ้นก็ได้

เรื่องของพลังแห่งความเชื่อนั้น มีสองแบบคือ แบบที่ใช้ความเชื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ กับแบบที่สร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาได้ คือสร้างสิ่งที่ไม่มีให้มีได้ แบบหลังนี้เรียกว่า miracle creature

อย่างถ้ารักษาโรคให้หาย เป็นเรื่องภายใน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นใหม่ แต่ถ้าคนแขนขาดแล้วแขนงอกออกมาอันนี้เป็น miracle creature

แต่ประเด็นคือหนังทำให้เราทำใจให้เชื่อได้ยากว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้จริง ๆ ทำให้พอหนังจบ เรารู้สึกเหวอไปเลย ว่าเล่นมุกนี้เลยเหรอ

นั่นแหละเหมือนที่เกริ่นไว้ คือผู้สร้างพยายามจะฉีกให้ตอนจบไม่ซ้ำกับเรื่องอื่นมากเกินไป เกินจะรับได้

ทำให้ผลตอบรับของหนังเรื่องนี้กับตอนจบของเรื่อง ส่วนใหญ่แล้วจะรู้สึกว่าจบได้ "เลวร้าย"

สิ่งที่คนส่วนใหญ่ที่ดูหนังเ้รื่องนี้แล้วสงสัยคือ

1. ตกลงเรื่องราวในหนังจริงหรือเปล่า หรือนิดาคิดขึ้นเอง เพราะเป็นโรคประสาท

- อันนี้ผมว่าถ้าเคลียร์ตรงนี้ได้ก่อน จะทำให้เคลียร์ประเด็นในหนังได้ตรงกันหมด สำหรับผมแล้วผมคิดว่าหนังไม่ได้เล่าเรื่องสลับซับซ้อน ยอกย้อนขนาดนั้น หลังจากต้นตาย นิดาไม่ได้เป็นบ้า แต่อาจจะมีอาการทางจิต คือไม่ยอมรับความจริง และเมื่อเธอไปเข้าร่วมสมาคม นั่นทำให้เธอยิ่งพัฒนาความเชื่อผนวกกับอาการทางจิตของเธอเอง ทำให้เธอทำสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ขึ้นมาได้

2. ทำไมนิดา ยิงลูกตายแล้วไม่ติดคุก

- นั่นน่าจะเพราะเป็นอุบัติเหตุ

3. นิดาซ่อนศพลูกไว้ในบนเพดานใช่มั้ย ส่วนในห้องไม่มีอะไร

- ศพบนเพดานที่โอ๊ต มอเตอร์ไซค์รับจ้างเห็นและที่ป่านเห็นตอนท้ายเป็นศพของโดมแน่นอน ลงสต็อปตอนที่โอ๊ตเห็นศพดูก็ได้ จะเห็นเคราบนหน้าศพที่อ้าปากค้างอยู่ ส่วนในห้องก็มีร่างที่นิดาสร้างขึ้นมาจากความเชื่อของเธอเอง ป่านเลยเห็นเงาคนเดินไปมา

4. นิดาเอาศพลูกไว้ในห้องใช่มั้ย แล้วจึงทำให้มีชีวิตขึ้นมาด้วยพลังความเชื่อของเธอ

- ไม่น่าจะใช่นะครับ เรื่องตอนที่ต้นตายนั้นน่าจะเป็นไปตามครรลองของมัน คือเป็นอุบัติเหตุ คงมีการตรวจสอบของตำรวจแล้ว เอาศพไปทำพิธีเรียบร้อย เพราะพ่อต้นไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วยเลย เขายังคิดว่านิดาบ้าที่ยังเชื่อว่าต้นยังอยู่ในห้องอยู่ เขาเลยพยายามจะพิสูจน์ว่านิดาบ้า แต่พอเปิดมาเจอซอมบี้ต้นเข้า เขาจึงตกใจ ส่วนนิดาก็หลอกตัวเองว่าต้นยังไม่ตาย อันสืบเนื่องจากอาการทางจิตของเธอ

5. ที่เห็นในห้องคือผีต้นใช่มั้ย

- อันนี้ก็ไม่น่าจะใช่ครับ เพราะหนังปูเรื่องมาแล้วตอนที่เล่าเรื่องแคเธอรีน น่าจะเป็นร่างที่ถูกสร้างขึ้นเพราะพลังแห่งความเชื่อ ทำให้เป็นจริงขึ้นมา

6. ตกลงตาลตายเหรอ หรือตาลเป็นผู้ชาย เพราะเห็นตอนท้ายหน้าเหมือนผู้ชาย

- ตาลน่าจะตาย แต่หนังหลอกเรา ตอนที่กอลลั่มแทงไม้เข้าไปที่ตัวตาล หนังไม่ได้เปิดเผยภาพให้เห็น แล้วตัวกอลลั่มก็สลายไป ตอนหลังพอเราเห็นคนที่แม่ตาลนั่งดูอยู่เปิดหน้ามาเหมือนกระเทย (จริง ๆ ผมดูแล้วไม่ใช่กระเทย แต่เป็นผู้หญิงคนอื่นมากกว่านะ) อันนั้นหนังก็หลอกเรา ว่าอ้าวไม่ใช่ตาลนี่นา นั่นเพราะตาลตายไปแล้ว

7. แล้วนิดาตายหรือเปล่า ในเมื่อกอลลั่มสลายไปแล้ว แล้วทำไมนิดายังไปโผล่ในโรงพยาบาลบ้าได้อีก

- ผมเชื่อว่านิดาไม่ได้ตาย และตรงนี้หนังน่าจะทำมาไม่เคลียร์เอง เพราะหนังติดกับดักเรื่องราวของตัวเอง การที่เราได้ฟังว่าหลังจากแคทเธอรีนตายไป 2 ชั่วโมง ลูกของเธอก็สลายกลายเป็นฝุ่นไป ทำให้เรารับเอารูปแบบนั้นมา ว่าร่างผีดิบต้นสลายไปนั้น เพราะนิดาตายนั่นเอง แต่อาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ เพราะสิ่งที่หนังเล่ามานั้น ไม่ได้เป็นการกำหนดกฏเกณฑ์แต่อย่างใด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเกินธรรมชาติ มีตัวแปรที่เราไม่รู้อีกเยอะ มันอาจจะเกิดจากจิตใจที่อ่อนแอลง เพราะเธอบาดเจ็บหนักก็ได้ หรืออาจจะเิกิดจากการที่เธอคิดชั่ว อยากกำจัดสามีตัวเอง อยากกำจัดป่าน ความคิดแง่บวกก็หายไป ทำให้พลังความชั่วร้ายเข้าหาเธอ (อ้างอิงจากที่อ.สุนีย์พูดตอนก่อนเล่าเรื่องแคทเธอรีน) ทำให้ร่างกอลลั่มต้นสลาย และทำให้เธอเป็นบ้าเต็มตัว

8. ตอนท้ายที่แม่ป่านยื่นหนังสือการ์ตูนสอดเข้าใต้ประตู ใครอยู่ในห้อง คิดไปเองหรือเปล่า

- หนังเหมือนจะทำให้เราตีความว่าแม่ป่านเจริญรอยตามนิดาแหละครับ และที่อยู่ในห้องน่าจะเหมือนกับกอลลั่มต้น แต่เป็นเพศหญิง (น่าเสียดายน่าจะมาจับคู่กันไปเลย)

9. ตอนท้ายเรื่องที่นิดาเห็นกระดาษสอดเข้ามาว่า "ต้นรักแม่" หมายความว่ายังไง

- อันนี้แหละคือส่วนที่ไม่เคลียร์ที่สุดของเรื่องนี้ และทำให้เราต้องตีความเอง ผมตีความว่า นิดาบ้าไปแล้วแบบเต็มขั้น ก่อนนี้เธอแค่มีอาการทางจิต แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ผมเลยคิดว่าเธอคิดไปเองครับ บางคนอาจจะคิดว่าเธอใช้พลังจิตทำให้กระดาษเลื่อนเข้ามาในห้องเพื่อหลอกตัวเอง แต่ผมเห็นต่างกัน ตรงที่ว่าจริง ๆ นิดาไม่ใช่คนที่มีพลังจิตแก่กล้านะครับ ไม่ใช่ว่าเธออยากจะทำอะไรก็ทำได้ เธอแค่ทำสิ่งอัศจรรย์ขึ้นมาได้ เพราะเธอเชื่อในเรื่องนั้นจริง ๆ ดังนั้นพอเธอเป็นบ้า ผมก็เลยไม่คิดว่ามีเหตุผลอะไรจะเชื่อว่าเธอใช้พลังจิตทำให้กระดาษเลื่อนเข้ามา เพราะเธอไม่ได้มีพลังจิตครับ

สุดท้ายคำว่าฮิคิโคโมริก็แทบไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่องเลย นอกจากจะนำมาเป็นทำเป็นประเด็นของคนที่อยู่แต่ในห้อง ไม่ออกมาข้างนอกเท่านั้น และสร้างความสงสัยว่าใครกันแน่ที่อยู่ในห้อง

แต่เมื่อเราได้รู้ว่าใครกันแน่ที่อยู่ในห้อง ก็อาจจะทำให้หลายคนคิดว่า ไม่รู้อาจจะดีกว่า

ผมให้คะแนนเรื่องนี้ซัก 6.5/10 แล้วกัน

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

5 พยัคฆ์พิทักษ์ซุนยัดเซ็น : ในวันที่พวกเขาต้องเสียสละเพื่อชาติ

รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญของเรื่องครับ

เรื่องราวที่สร้างจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ของจีน ที่ถูกนำมานำเสนอในมุมมองอีกด้านหนึ่งของเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ขออนุญาตินำเรื่องย่อมาลงเลยแล้วกัน

ปี 1905 นครแห่งวิคตอเรีย (อาณานิคมอังกฤษของฮ่องกง) ในระยะ 13 ช่วงตึก ชายผู้หนึ่งซึ่งกุมโชคชะตาของชาติต้องอยู่รอด พยายามอย่างไม่ย่อท้อในชีวิตซึ่งมีบอดี้การ์ด 5 คนเท่านั้นที่คอยปกป้องเขา เพื่อสู้กับมือสังหารนับร้อย บุรุษเหล่านี้ต้องทดสอบความกล้าหาญเพื่อปกป้องความหวังของผู้คนนับล้านในค่ำ คืนที่มีภยันตราย แม้จะต้องสู้จนชีวิตหาไม่สังเวยชีวิตนับล้านเพื่อความยิ่งใหญ่ของซีซาร์


ก่อนที่ด็อกเตอร์ซุน ยัด เซ็นจะกลายเป็นบิดา แห่งประเทศจีนยุคใหม่โดยกระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติในปี 1911 ซึ่งโค่นราชวงศ์ชิง ชีวิตเขาเกือบถูกสั่งลอบสังหารในวันที่ 15 ตุลาคม ปี 1905 ตอนที่เขามาถึงฮ่องกงเพื่อประชุมลับเพื่อก่อตั้งกลุ่มต่อต้านการปฏิวัติ ราชวงศ์ชิง

ก่อนหน้าการมาของเขา กลุ่มมือสังหารอันดับต้นๆถูกเรียกตัวโดยราชสำนักชิงเพื่อให้มั่นใจว่าด็อก เตอร์ซุนไม่รอดชีวิตไปจากอาณานิคมอังกฤษ มือสังหารพร้อมอาวุธร้ายแรงประจำอยู่ทุกที่ใน 13 ช่วงตึกระหว่างทางจากท่าเรือที่ด็อกเตอร์ซุนจะลงจากเรือ

พอข่าวเรื่องการพยายามลอบสังหารกระพือ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์และนักธุรกิจท้องถิ่นซึ่งสนับสนุนการปฏิวัติอย่าง ลับๆได้ออกมาปกป้องด็อกเตอร์ซุนด้วยตัวเอง พวกเขารวบรวมผู้ชายและผู้หญิงกลุ่มหนึ่งซึ่งมีทักษะพิเศษในการต่อสู้เพื่อ คุ้มกันด็อกเตอร์ซุนเมื่อเขามาถึงท่าเรือ พวกเขาคือ...

นักพนัน นักพนันตัวยงที่ยังลังเลว่าจะช่วย ราชวงศ์ชิงหรือทีมปฏิวัติ
ขอทาน ติดฝิ่นงอมแงม ซึ่งพยายามเลี่ยงอดีตของตัวเองที่เป็นลูกชายในตระกูลไฮโซ
ชายลากรถ คนขับรถของนักธรุกิจท้องถิ่นและบอดี้ การ์ด ผู้ภักดีและถ่อมตัว สิ้นหวังในรักกับลูกสาวพ่อค้าชั้นสูง
นักร้องหญิง นักแสดงละครโอเปร่าซึ่งปรากฏว่า เป็น Wing Chun master และเป็นลูกสาว Tai Ping นักปฏิวัติ
พ่อค้าเร่เส้าหลิน พ่อค้าขายเต้าหู้และอดีตลูก ศิษย์วัดเส้าหลิน


ตลอดระยะเวลา 5 ชั่วโมงภายใน 1 วัน มิตรภาพ ความขัดแย้งและความสามารถของพวกเขาถูกทดสอบขณะที่ต่อสู้โดยไม่คิดชีวิตเพื่อ ปกป้องชายที่พวกเขาแทบไม่รู้จัก แม้พวกเขาแต่ละคนจะถูกตามล่าโดยพวกมือสังหารจอมโหด บอดี้การ์ดเหล่านี้ก็ทำภารกิจสำเร็จโดยช่วยชีวิตด็อกเตอร์ซุนไว้ได้ พวกเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นนักปฏิวัติหรือวีรบุรุษ แต่การเสียสละชีวิตนิรนามของพวกเขาได้เปลี่ยนวิถีประวัติศาสตร์ของโลกไปโดยสิ้นเชิง


หนังเรื่องนี้กำกับโดย เท็ดดี้ เฉิน แต่ Trailer ในเมืองไทย ชูชื่อ ปีเตอร์ ชาน ซึ่งอำนวยการสร้าง เพราะชื่อของ ชานเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงหนังไทยจากผลงานการสร้างหนังไทยหรือหนังร่วมทุนไทยฮ่องกงหลายเรื่อง อย่าง จันดารา , The Eye คนเห็นผี , Three Extreme อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต ปีเตอร์ ชาน จึงเป็นเหมือน Jerry Bruckhimer ของเกาะฮ่องกง ที่แฟนหนังมักรู้ัจักมากกว่าัตัวผู้กำกับ

หนังเรื่องนี้เลือกที่จะเจาะเรื่องราวแคบไปที่เหตุการณ์ก่อนการมาถึงเกาะฮ่องกงของดร.ซุน ยัด เซ็น 4 วัน และเน้นเรื่องราวไปที่กลุ่มบุคคลที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อปกป้องดร.ซุน และยอมเสียสละชีวิตตัวเองให้ภารกิจนี้สำเร็จ

หนังมีนักแสดงมีฝีมือร่วมแสดงมากมาย

ดอนนี่ เยน , หวังเสวี่ยฉี , เหลียงเจียฮุย , เซียะถิงฟง , ฟ่านปิงปิง , เจิ้นจื่อเหว่ย , หวังปั๋วเจี๋ย ,โจวหยัน , เม็งบาเทียร์ , เยิ่นต๊ะหัว , หูจุน , หลี่หมิง , จางเซี๊ยะโหย่ว , หลี่เจียซิน


และคว้ารางวัลสำคัญ ๆ ทั้งในและนอกประเทศมาครองได้หลายรางวัล โดยเฉพาะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมของ เซียะถิงฟง จากเวที Hongkong Film Awards

และไปได้รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมในบทของหวังเสวี่ยฉี และนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมของเซียะถิงฟง จากเวที Asian Film Awards มาอีกครั้ง

ซึ่งนี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผมอยากดูหนังเรื่องนี้


การแสดงของนักแสดงในเรื่องทั้งหมดที่โดดเด่นที่สุดคงจะเป็นหวังเสวี่ยฉี ในบทของคณบดี ที่ทำให้ผมนึกถึงตัวละครออสการ์ ชิลด์เล่อร์ในเรื่อง Shindler's List ขึ้นมาทันที

หลี่อิ้วถังเป็นมหาเศรษฐีที่มีจิตใจที่ดีงาม ใครไม่มีเงิน ไม่มีข้าวกินมาขอพึ่งเขา เขายินดีช่วยเหลือหมด และเบื้องหลังเขาเป็นนายทุนผู้สนับสนุนการปฎิวัติ แต่ตัวเขาไม่ต้องการให้ตัวเองและครอบครัวเข้าไปพัวพันอย่างเต็มตัวกับการกระทำครั้งนี้ เพราะนั่นหมายถึงอันตรายแก่ชีวิตตัวเองและครอบครัว

ช่วงต้น ๆ เราอาจจะเห็นว่าเขาดูเหมือนจะเห็นแก่ตัวนิด ๆ จากฉากปะทะคารมกับเฉินเสี่ยวไป๋ (เหลียง เจีย ฮุย) เพื่อนเก่า ผู้เป็นอาจารย์ผู้นำการปฏิวัติในจีน

แต่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจปฏิเสธชะตากรรมบนเส้นทางที่เขาเลือกเดินได้


หวังเสวี่ยฉีให้การแสดงที่คู่ควรแก่รางวัล (น่าเสียดายที่พลาดรางวัลในบ้านเกิด) บทพ่อที่พยายามปกป้อง และกันให้ลูกชายคนเดียวของตัวเองออกห่างจากการปฏิวัติ แต่ตัวเองตัดสินใจเข้าร่วมอย่างเต็มรูปแบบ ให้ความรู้สึกแก่คนดูได้ว่า เขาเป็นพ่อที่มีความเข้มงวดและก็มีความรักในตัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวน หวังจะฟูมฟักให้เติบโตรับช่วงต่อจากเขา แต่ตัวเองก็ไม่อาจปฏิเสธในสำนึกที่มีต่อบ้านเกิดได้

ฉากที่เขาต้องขอร้องให้คนจำนวนมากช่วยปกป้องดร.ซุน ยัดเซ็น นั้นถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดี

เป็นชายที่ยืนอยู่บนจุดที่ยากลำบากในการตัดสินใจ ซึ่งหวังเสวี่ยฉีถ่ายทอดออกมาได้ยอดเยี่ยมสมราคา


อีกคนหนึ่งที่ทำให้หนังมีพลังมากขึ้นก็คงไม่พ้นเซียะถิงฟงในบทของชายลากรถผู้จงรักภักดี หนังให้ความสำคัญกับตัวละครตัวนี้พอสมควร จึงทำให้เห็นว่าเขามีฝัน มีความรักกับหญิงสาว และกำลังจะได้แต่งงานเมื่อเสร็จภารกิจนี้ในวันรุ่งขึ้น

ทำให้เรารู้สึกผูกพันและเอาใจช่วยกับตัวละครตัวนี้จนถึงช่วงสุดท้ายของหนัง


ในเรื่องตัวละครที่ถือว่าเป็นบทรับเชิญอาจนับได้สี่คน คือ จางเซี้ยะโหย่วที่รับบทหยางซุนหยู อาจารย์ผู้นำการปฏิวัติ ที่ปรากฏตัวตอนต้นเรื่อง และ หลี่เจียซิน อดีต miss Hongkong ในบทคนรักของคุณชายหลิว ทั้งสองคนนี้ไม่มีบทบาทอะไรมากนัก นอกจากฝ่ายหลังจะปรากฏตัวเพื่อให้เรื่องนี้มีอะไรสวย ๆ งาม ๆ บ้าง


สองคนที่มีบทมากหน่อย คนหนึ่งนั้นคือ เยิ่นต๊ะหัว ในบทนายพลฟาง อดีตผู้นำกองกำลังพันธมิตรแปดชาติ ที่หลบหนีมาอยู่ในเกาะฮ่องกง มีบทบาทช่วงต้นของเรื่อง มีบทให้แสดงอารมณ์อยู่นิดหน่อย แล้วก็ไป ทำให้ผมนึก Steven Siegal ที่โผล่มาในเรื่อง Executive Disicion ซึ่งให้อารมณ์เดียวกันกับตอนที่ผมดูเรื่องนั้นเลย ว่า "อ้าว ไปซะแล้ว"


อีกคนที่มีบทมากกว่าซักหน่อย คงเป็นหลี่หมิง ในบทคุณชายหลิว ซึ่งสำหรับผมรู้สึกว่าผิดหวังกับการแสดงของหลี่หมิงและรูปลักษณ์ของเขาเป็นอย่างมาก ตอนแรก ๆ ที่ยังเป็นยาจกขอทานอยู่ยังพอโอเค แต่พอตอนท้ายที่สลัดคราบแล้วลุกขึ้นมาร่วมต่อสู้ ผมสงสัยว่าเขาไม่ถูกกับคนเขียนบทและคอสตูมหรืออย่างไร ทำไมถึงแกล้งกันอย่างนี้

อุตส่าห์หายไปนานกว่าจะโผล่ พอออกมา ปรากฏว่า อ๋อ ไปเสียเวลาไดร์ผมมานี่เอง แล้วหน้าตาก็มีบล็อกเดียวตลอดเวลา น่าเสียดายฝีมือ



สำหรับตัวละครของฟ่าน ปิงปิง ผมรู้สึกว่าแคสติ้งนักแสดงมาผิดคน คือเธอสวยแบบโดดออกจากตัวหนังเกินไป จนเกินกว่าจะเชื่อได้ว่่าครั้งหนึ่งเคยเป็นภรรยาของเสิ่น ถุงหยาง (ดอนนี่เยน) พระเอกของเรื่อง


สำหรับดอนนี่ เยน เอง ซึ่งเรื่องนี้อาจถือได้ว่าเป็นพระเอกของเรื่อง แต่กลับโดนรัศมีของเสวี่ยฉี และถิงฟงกลบไปจนหมด จะกลับมาฉายแววก็ช่วงท้าย ๆ ที่ได้โชว์ฝีไม้ลายมือนั่นแหละ


น่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้ไม่ตัดใจ สร้างเรื่องราวให้สมจริง และขึงขังให้มากกว่านี้ เพราะไอเดียการจับเอาตัวละครแตกต่างกัน 5 คนมารวมตัวกันเป็นบอดี้การ์ดจำเป็นเพื่อภารกิจสำคัญที่จะพลิกหน้าประวัติศาสตร์นั้นเป็นไอเดียที่ดี และเล่นได้อีกเยอะ

แต่เหมือนหนังจะเสียดายความเป็นหนังแอคชั่นบู๊สไตล์หนังจีนกำลังภายใน ในเรื่องจึงมีการใส่ฉากต่อสู้ที่ต้องการจะตอบสนองคอหนังแนวนี้ไว้ ทำให้หนังมีความเป็นหนังมากเกินไป ประเภทตัวละครอึดตายยากอย่างไม่น่าเชื่อ แทงเท่าไหร่ก็ไม่ตายซักที หนึ่งคนสู้ได้เป็นสิบ ๆ คน ทำให้ความรู้สึกร่วมในการชมหนังเรื่องนี้ถูกลดทอนลงไป


อย่างไรก็ตามก็ถือว่า Bodyguards and Assassins หรือ 5 พยัคฆ์พิทักษ์ซุนยัดเซ็น เป็นหนังที่ดูเอาบันเทิงได้ดี และให้ความรู้และแง่คิดแก่เราได้

เป็นหนังจีนดี ๆ เรื่องหนึ่งในช่วงที่ตลาดหนังจีนฮ่องกงบ้านเราอยู่ในช่วงขาลง

ให้คะแนนความชอบ 6.5/10 ครับ

สามชุก ทุกชีวิตมีรายละเอียด : หนังดี ดูสนุก ที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าดู

รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญของเรื่อง

ชื่อเต็ม ๆ ของหนังเรื่องนี้ คือ "สามชุก ขอเพียงโอกาสอีกสักครั้ง"

ผมว่าหนังไทยหลายเรื่องประสบปัญหากับการตั้งชื่อหนัง ไม่ใช่ว่าตั้งได้ไม่ดีนะครับ แต่คนดูหนังบ้านเรามีวัฒนธรรมที่การเลือกดูหนังจาก "หน้าหนัง" และ "ชื่อหนัง"

ซึ่งชื่อหนังเนี่ย ต้องถือว่าได้รับอิทธิพลมาจากการที่เวลาหนังฝรั่งและหนังฮ่องกงเข้าไทย ต้องคิดชื่อหนังในเวอร์ั่ชั่นไทยให้อลังการหรือตลก ๆ เข้าว่า

พวกคำประเภท มหันตภัยล้างโลก อภิมหาอึดทะลวงโลก โคตรคนมหากาฬ ฯลฯ ประมาณนี้ ทั้ง ๆ ที่ชื่อหนังฝรั่งอาจมีแค่คำสองคำก็ได้

ดังนั้นถ้าหนังเรื่องนี้จะตั้งชื่อว่า "สามชุก" ส่วนประโยคหลังนั้นแทบไม่มีใครรู้จัก แล้วจะไม่มีคนเข้าไปดูก็คงไม่แปลก เพราะ "โหมโรง" ก็เคยโดนมาแล้ว

ทั้ง ๆ ที่ดู ๆ กันแล้วชื่อหนังต่างประเทศเชย ๆ ก็มีเยอะแยะ เช่น "Notting Hill" นี่ชื่อถนน "Wall Street" ชื่อตลาดหุ้น "Titanic" นี่ก็เรือ "Up" ขึ้น "Cars" รถหลายคัน "Ghost" ผี "300" .......แต่หนังพวกนี้ก็ประสบความสำเร็จทางรายได้ได้ไม่ยาก

แต่ต้องยอมรับด้วยว่าหน้าหนังของ "สามชุก" เป็นของแสลงที่คนดูหนังไทยเพื่อความบันเทิงมักหลีกเลี่ยง และปฏิเสธ หนังประเภทที่ทำเหมือนกับว่าสร้างมาเพื่อสั่งสอน แล้วยิ่งได้กระทรวงอะไรต่อมิอะไรออกมารับรองด้วยแล้ว ยิ่งกลายเป็นข้อเสียที่ทำให้คนไม่ไปดูหนังเรื่องนี้เ้ข้าไปใหญ่

หลายคนไม่อยากเสียเวลาเข้าไปนั่งดูหนัง 2 ช.ม. เพื่อจะรับสาส์นที่หนังตั้งธงไว้มาสอนเราว่า ไอ้นั่นไม่ดี ไอ้โน่นไม่ดีนะ คนส่วนใหญ่อยากไปดูหนังเพื่อความบันเทิง

นี่แหละัหนังเรื่องนี้จึงถูกมองข้ามไป

แต่ผมอยากบอกว่า "สามชุก ขอเพียงโอกาสอีกสักครั้ง" เป็นหนังที่ไม่ใช่้แค่ให้ข้อคิดดี ๆ แ่ต่หนังก็ดูสนุกด้วย และที่สำคัญหนังสร้างมาแบบเข้าใจคน


หนังเปิดเรื่องด้วยการบอกให้เราทราบว่า "ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง"

สามชุก ฯ เป็นเรื่องราวของนักเรียนม.ปลาย 7 คน ในชุมชนเล็ก ๆ ของอำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ที่อยู่ในช่วงเวลาหัวเลี้่ยวหัวต่อของชีวิต พวกเขาต่างมีปัญหาชีิวิตที่แตกต่างกันไป บางคนก็มีปัญหาทางบ้าน พ่อติดเหล้า หรือพ่อไม่เข้าใจ คาดหวังในตัวเขาสูงเกินไป บางคนก็ขาดความรักไม่มีพ่อแม่คอยดูแล บางคนมีปัญหาส่วนตัว ถูกเพื่อนแกล้ง บางคนต้องทำงานหนักตื่นแต่เช้าเข้านอนดึก เพื่อหาเงินช่วยที่บ้าน แต่พวกเขาก็มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน มีชีวิตที่สนุกสนานตามวัย และมีคนรักที่ดี


แต่ยาเสพติด หรือถ้าเจาะจงให้แคบลงก็คือ "ยาบ้า" ก็เข้ามาสู่ชุมชนแห่งนี้ และพวกเขาเหล่านี้ก็ตกเป็นเหยื่อของมัน ด้วยเหตุผลของแต่ละคนแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือพวกเขากำลังได้รับผลจากการเข้าไปยุ่งกับมันด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อถลำลึกลงไป ชีวิตเขาก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น จะพยายามกลับตัว ที่ยืนในสังคมก็หาได้ยาก เพราะคนมากมายต่างรุมประนาม

ครูพินิจเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองของโรงเรียนสามชุก เขาเป็นครูธรรมดา ๆ คนหนึ่ง แต่สิ่งที่ต่างออกไป คือ ครูพินิจ มีจิตวิญญาณความเป็น "ครู" ซึ่งปัจจุบันหาได้ยากในครูทั่ว ๆ ไป

เขาลุกขึ้นช่วยเหลือ และออกหน้ารับ ขอโอกาสให้เด็กเหล่านี้อีกสักครั้ง เพราะเขาเชื่อว่า เด็กเหล่านี้เป็นเพียงแค่เหยื่อไม่ใช่เนื้อร้ายของสังคม คนรอบข้างต้องช่วยกันรับผิดชอบ เพราะสังคมอ่อนแอ ยาบ้าถึงเข้ามาถึงเด็กเหล่านี้ได้ เด็กเหล่านี้เพียงแค่โชคร้ายกว่าเด็กคนอื่น ๆ เท่านั้นที่เจอกับมันก่อน


ผลงานการกำกับของ ธนิตย์ จิตนุกูล หรือ คุณปื๊ด ผู้กำกับที่มีประสบการณ์การทำงานยาวนาน เรื่องนี้ สร้างจากเหตุการณ์จริงของครูกับลูกศิษย์อีก 7 คน ที่ช่วยปลุกกระแสของชุมชนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ทำสงครามกับยาเสพติด

ชีวิตของเด็ก 7 คนนี้รอดพ้นกับจุดจบอันน่าเศร้าได้ เพราะมีครูคนหนึ่งที่เขาไม่หมดหวังกับชีวิตของลูกศิษย์ และได้ลงมือทำอย่างเต็มกำลังเท่าที่เขาจะทำได้ สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้กลับมาเป็นสิ่งยิ่งใหญ่และมีคุณค่าสำหรับชีวิตของคนที่เป็นครูอย่างแท้จริง

ส่ิงที่เป็นข้อดีของหนังเรื่องนี้ คือ เป็นหนังที่สร้างแบบจริงใจดี แม้อาจจะดูเชยไปบ้าง งานเทคนิคการสร้างไม่ได้อลังการ และดูแล้วไม่ใช่ว่าฝีมือของผกก.ไม่ถึง เพราะขึ้นชื่อ ปื๊ด ธนิตย์ จิตนุกูล แล้ว ฝีมือน่ะมีแน่นอน แต่คุณปื๊ดเลือกที่จะนำเสนอออกมาแบบเรียบ ๆ เหมือนหนังชนบทมากกว่า หนังให้อารมณ์หนังไทยแบบเดิม ไม่มีกล้องดอลลี่ หรือแพนภาพมุมกล้องจากบนเครน ซึ่งทำให้ผมดูหนังเรื่องนี้ได้เข้าถึงบรรยากาศชนบทได้มากกว่า


นักแสดงของเรื่องส่วนใหญ่เป็นมือใหม่ทั้งนั้น ยกเว้นคุณปรเมศร์ น้อยอ่ำ ที่รับบทครูพินิจ ตัวเอกของเรื่องที่เคยมีผลงานจากบอดี้ ศพ 19 มาก่อน กับคุณศิริวิมล เรขา ที่รับบทอ.สมฤดี อาจารย์แนะแนวของโรงเรียน


ที่เหลือเป็นนักแสดงมือสมัครเล่นทั้งนั้น โดยเฉพาะนักแสดงเด็กหลัก ๆ ทั้ง 10 คน คือกลุ่มเด็กผู้ชาย 7 คน และเด็กผู้หญิง 3 คน ต่างเป็นเด็กในพื้นที่ทั้งนั้น

ซึ่งนี่ทำให้ผมประัทับใจหนังเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะความเป็นคนเชื้อสายสุพรรณ (พ่อแม่เป็นคนบางปลาม้า) ของผม ทำให้ผมฟังสำเนียงสุพรรณในเรื่องนี้ได้อย่างรื่นหู

เพราะบอกได้เลยว่าหนังที่มีตัวละครคนสุพรรณแทบทุกเรื่อง ไม่เคยพูดสำเนียงสุพรรณตรงตามสำเนียงจริง ๆ เลย เป็นสำเนียงที่พยายามดัดให้เหน่อ ดูเทียบได้จากบุญชูทุกภาคที่ผ่าน

และที่สำคัญทุก ๆ คนก็เล่นได้อย่างดีและเป็นธรรมชาิติ แม้บางจังหวะที่ยังไม่สามารถปล่อยบทพูดบางประโยคให้ไหลรื่นได้ แต่โดยรวมแล้วทุกคนต่างรับผิดชอบบทของตัวเองได้เป็นอย่างดี และทำให้คนดูอย่างเราเชื่อได้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนรักกัน

จังหวะล้อเล่น แกล้งกัน หรือจังหวะแสดงออกทางอารมณ์ก็ทำได้ดี


น้อง ๆ ผู้หญิงก็เล่นได้น่ารัก จนบางทีผมยังแอบคิดว่าอุตส่าห์มีแฟนดี และน่ารักอย่างนี้ ยังจะไปติดยาอีก อันนี้แค่คิดเล่น ๆ นะครับ เพราะชีวิตจริง ๆ มันเ้ป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะคำว่า "ยาเสพติด" แปลว่า ยาที่เสพแล้วติด นั่นเอง



ตัวแสดงที่แสดงเป็นพ่อแม่ของเด็ก ๆ ทุกคนก็สอบผ่านกันทุกคน ต่างรับผิดชอบแคแรกเตอร์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี ในบรรดาทั้งหมดนี้มีคุณแม่เล็ก ซึ่งเ้ป็นแม่ของคุณตั๊ก บงกชแสดงอยู่ด้วย เนื่องจากเธอเป็นคนสุพรรณบุรีแต่กำเนิดด้วย ก็ลองสังเกตุกันเอาเองนะครับ

สรุปแล้วการแสดงของตัวละครทุกตัวในเรื่อง ซึ่งถือว่ามีจำนวนมาก รวม ๆ แล้วที่มีบทบาทกัน อย่างน้อย ๆ ก็ร่วม 20 คนเข้าไปแล้ว ถือว่าทำได้ดีกันแทบทุกคน ซึ่งสำหรับผมต้องบอกว่าเทียบกับประสบการณ์การแสดงและจำนวนคนที่มาก ต้องถือว่าทำได้ดีจนน่าประทับใจ และบทก็ถูกกระจายอย่างทั่วถึง แม้ว่าบางตอนจะมีการเจาะไปที่แต่ละคนแต่ละครอบครัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังน่าเบื่อแต่อย่างใด

ตรงนี้ต้องยกความดีความชอบให้ ผู้กำกับ ผู้เขียนบท และคนที่แคสติ้งนักแสดงมา


ข้อด้อยของหนังเรื่องคือ หนังอาจจะมีการเล่าเรื่องที่เชยไปซักหน่อย หนังมีช่วงเวลาที่ต้องการจะบอกเล่าให้เราทราบว่าแต่ละคนมายุ่งเกี่ยวกับ "ยาบ้า" ได้อย่างไร ก็เลยหาทางออกให้โดยการให้ครูพินิจจับเด็กมานั่งล้อมวงกัน แล้วไล่ถามทีละคนว่า "แล้วนายล่ะมาติดยากได้ยัีงไง" แล้วหนังก็แฟลชแบ็คให้เราเห็น แล้วก็กลับมาเปลี่ยนคนไปทีละลำดับ

ตรงนั้นเราอาจจะดูไปแล้วก็อาจจะรู้สึกได้ว่า "เชยจังว่ะ" แต่หนังก็ไม่ได้น่าเบื่อแต่อย่างใด

บางฉากของหนังอาจจะมีช่วงเวลาบังคับของหนังประเภทนี้ คือต้องมีตอนที่ตัวละครต้องพูดบางสิ่งที่เป็นสารสำคัญที่หนังต้องการจะบอกกับผู้ชมออกมา ซึ่งอาจจะทำให้เรารู้สึกว่าจงใจอยู่บ้าง แต่สำหรับผมก็ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับภาพรวม


แต่ในทั้งหมดเหล่านี้ข้อดีที่สุดของหนังเรื่องนี้คือ เข้าใจคน

หนังนำเสนอให้เห็นว่าชีวิตคนเราทุกคนต่างมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันไป เราไม่สามารถช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้คนคนหนึ่งด้วยวิธีหนึ่งแล้วเอารูปแบบวิธีนั้นไปใช้กับอีกคนหนึ่งได้

ในเรื่องเราจะเห็นว่าทุก ๆ คนที่ติดยา ต่างมีเหตุผลที่แตกต่างกันไป และถ้าจะช่วยเขาได้ก็ต้องเข้าใจและให้โอกาส

เห็นได้ชัดว่าทีมงานทำรีเสิร์จมาอย่างดี และพยายามนำเสนอเนื้อหาหนังที่เกี่ยวกับผลเสียของยาเสพติดอย่างครบถ้วนรอบด้าน หนังไม่ได้ทำให้เห็นแค่ว่าติดยาไม่ดีอย่างไร แล้วต้องเลิกนะ คนที่จะช่วยต้องเข้าใจและทุ่มเทนะ แต่หนังได้บอกด้วยว่าเมื่อคุณดำิเนินชีวิตผิดพลาด คุณก็ต้องรับผลของมัน ถ้าคุณจะกลับมาก็ต้องอดทนและต่อสู้กับมัน และเตรียมตัวรับผลจากการถูกคนรอบข้างไม่ยอมรับด้วย

แฟร์ดีครับ


หนังเกี่ยวกับครูที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มักสร้างจากเรื่องจริง หรือไม่ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริง อย่าง Dead Poet Society , Dangerious Mind , The Chorus , Mr.Holland's Opus หรือหนังไทยอย่างเรื่อง ครูบ้่านนอก ครูไหวใจร้าย เหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วสร้างออกมามักสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ไม่ยาก

เพราะทุกคนเคยเป็นนักเรียนมาก่อน ในช่วงชีวิตหนึ่ง เราเคยถูกสั่งสอนจากคนเป็นครูทั้งนั้น

สมัยก่อนอาชีิพครูเป็นอาชีพมีเกียรติ เป็นอาชีพที่คนมาเป็นมักเป็นคนที่มีความตั้งใจอยากเป็นเรือจ้างที่พานักเรียนข้ามไปถึงฝั่งฝัน เป็นอาชีิพที่น่าภาคภูมิใจ

ไปถามคนรุ่น 30-50 ปี ดูได้ว่าครูที่เขาจดจำได้เป็นครูคนไหน ส่วนใหญ่ทุกคนจะจำครูที่เข้มงวดและใส่ใจสั่งสอนชีวิตเรามากกว่าครูที่เพียงแค่สอนวิชาความรู็เท่านั้น

และหลายคนยอมรับเลยว่า ที่เป็นคนอย่างทุกวันนี้ได้ เพราะไม้่เรียวของครู


สำหรับผม ผมรู้สึกว่าครูพินิจเป็นครูธรรมดา ๆ ที่มีหัวใจความเป็นครูเท่านั้นเอง ผมชอบที่เขาไม่ได้เ้ป็นครูที่เต็มไปด้วยปรัชญา หลายครั้งเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำยังไง จะพูด จะสั่งสอนเด็กเหล่านี้ยังไงให้เข้าใจได้จริง ๆ แต่เขาไม่ยอมไม่แพ้กับมัน ไม่หมดหวัง ตอนที่เขาช่วยเหลือลูกศิษย์ที่พ่อติดเหล้า ด้วยการไปขอร้องให้ร้านเหล้าที่รู้จักกันไม่ขายเหล้าให้ แล้วร้านเหล้าบอกว่าทำอย่างนี้จะได้่ผลเหรอ เขาบอก "ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ก็ทำได้เท่าที่ทำ"

เป็นคนประเภทที่แม้ทำได้แค่นิดเดียว แต่ขอให้ได้ทำมากกว่าไม่ทำอะไรเลย แค่นี้ก็พอแล้ว

แม้คนรอบข้างจะบอกว่าสิ่งที่เขาทำไม่มีประโยชน์หรอก แม้กระทั่งคนที่มีอาชีพครูด้วยกันยังพูดอย่างนั้น แต่ครูพินิจก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ


สุดท้ายหนังก็จบด้วยการที่มีตัวละครหนึ่งถามว่าอาจารย์ทำอย่างนี้ได้ยังไง ครูพินิจตอบว่า " ก็เพราะชั้นเป็นครูพวกมันน่ะสิ

สำหรับผมมันจริงใจดี ไม่ต้องปรุงแต่งและเป็นเหตุผลง่าย ๆ ให้ทำสิ่งยาก ๆ ได้

ชอบมากครับ ให้ 8/10 คะแนน

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ official site ของหนังครับ http://www.samchukmovie.com/aboutfilm.php