ยินดีต้อนรับครับ

ยินดีต้อนรับครับ

ทักทาย

ผมลองจัดระเบียบบล็อกใหม่ดูนะ ครับ

โดยแบ่ง Group Blog ออกตามประเภทของหนังและนิยายนะครับ
เพราะคิดว่าหลายคนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบ ดูหนังทุกประเภท

เช่น บางคนชอบดูหนัง Romantic แต่ไม่ชอบดูหนังสยองขวัญเลย เพราะไม่ชอบ น่ากลัว

บางคนก็ชอบดูหนัง สยองขวัญเป็นชีวิตจิตใจ หนังชีวิตน่าเบื่อมาก ไม่ชอบดู

ผมเลยแบ่ง หมวดหมู่เป็นประเภทของหนัง (แต่ตอนนี้แต่ละหมวดยังน้อยอยู่) เผื่อว่าใครผ่านเข้ามาในบล็อกแล้วอยากจะอ่านรีวิวเก่า ๆ จะได้เลือกได้ตามประเภทของหนังตามที่ชอบได้

ที่แบ่งตั้งแต่ตอนนี้ แม้หนังที่เขียนยังไม่เยอะ เพราะคิดว่าต่อไปเกิดเยอะมาแบ่งที่หลังจะยิ่งเสียเวลาน่ะครับ

บางเรื่องก็แบ่งยากเหมือนกัน มันคาบเกี่ยวกัน แต่ผมจะพยายามยึดอารมณ์ของหนังเป็นหลักน่ะครับ

อ้อ แล้วก็ในบล็อกผมตั้งใจจะขึ้นคำเตือนในทุกบล็อกว่าตรงไหนคุยแบบไม่สปอยล์ ตรงไหนคุยแบบสปอยล์ เวลาใครมาอ่านจะได้อ่านแบบสบายใจได้ไม่ต้องกลัวถูกสปอยล์นะครับ

ถ้าใครแวะมาแล้วไม่รู้จะคอมเมนต์ อะไร ก็ฝากข้อความทิ้งไว้ที่ Shout Box ด้านข้างได้นะครับ


ขอบคุณ ทุกท่านที่แวะเวียนมาอ่านนะครับ ผมก็จะแวะเวียนไปหาท่านด้วยเช่นกัน ตามโอกาสและเวลา

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

พ่อแม่รังแกฝัน

สามารถโหลดไฟล์แบบ PDF ไปอ่านได้ครับ (ก๊อปปี้ link แล้วไป paste ในช่อง URL ได้เลยครับ)

http://www.mediafire.com/?q4hf08w1ivu93ph

ออกแบบจัดหน้าสวยงามด้วยใจและฝีมือของบอยแมค โดยไม่ได้ร้องขอเลยซักนิด (มีเพื่อนดี)

ขอบคุณสำหรับการถีบแบบสุดตรีน (ถ้าไม่ทราบว่าการถีบคืออะไร อ่านให้จบก่อนครับ)

...............................................................


โตขึ้นอยากเป็นอะไรกันค่ะ

มีใครในประเทศนี้ไหมไม่เคยถูกถามคำถามนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะโดนโยนคำถามนี้ใส่จากคนที่เป็นครูในวัยเด็กของเรา
ไม่ว่ามันจะถูกถามเพราะว่าคนถามอยากรู้จริง ๆ หรือว่ามันเป็นหลักสูตรที่ถูกอบรมมาในวิชาส.ป.ช. หรืออาจจะเป็นกิมมิคในการสอนและฆ่าเวลาชั่วโมงเรียนได้ดีอย่างหนึ่ง หรือเพราะคนถามเคยเป็นผู้ถูกกระทำมาก่อน แต่ในวันนี้ ในวันที่ความฝันในวัยเด็กของเขาระเหิดกลายเป็นไอไปจนหมด เขาพบตัวเองเหลือแค่ตะกอนแห่งความฝัน กองทิ้งอยู่ในโลกแห่งความจริง และคำถามนี้ทิ่มแทงตัวตนของเขา จนทนไม่ไหวเลยต้องโยนมันให้เด็ก ๆ อย่างเรา (ในวันนั้น)

คิดไปนั่น

แต่ไม่ว่ายังไงเราทุกคนก็ยังถูกถามอยู่ดีว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร”
ทำไมถึงอยากรู้กันจังนะ

ในหนังสือเรื่องโตเกียวไม่มีขา นิ้วกลมตั้งคำถามนี้กับตัวเองและผู้อ่านว่า

“โตขึ้นอยากเป็นอะไร
ผมถามคุณ….
แล้วตอนนี้คุณทำอะไรอยู่ ?”

ผมอ่านแล้วโมโหมาก ถามอย่างนี้ได้ยังไงมันแทงใจดำอันแห้งแล้งของผม
เอาล่ะ โตขึ้นผมอยากเป็นอะไรเหรอ ผมเล่าเรื่องของผมก่อนดีกว่า

ความทรงจำในวัยเด็กผมคงเป็นสีเทาจาง ๆ แล้วล่ะ เพราะระลึกได้ลางเลือน แต่กระนั้นก็คิดว่าไม่น่าพลาดว่าครั้งหนึ่งตัวเองเคยพูดว่า “โตขึ้นอยากเป็นทหาร” เหตุผลง่าย ๆ ครับ เพราะผมเกิดในหมู่บ้านทหาร พ่อผมเป็นทหาร บ้านข้าง ๆ ก็เป็นทหาร บ้านตรงข้ามก็เป็นทหาร สิ่งมีชีวิตสนิทรอบตัวผมป็นทหารแทบทั้งนั้น เว้นไว้แต่แม่ น้องสาว ปลาทองในตู้ และไอ้จีจี้และนังตุ๊กแตม หมาและแมวข้างบ้าน
ทุก ๆ วันผมเจอแต่ทหารยั้วเยี้ยไปหมด ขนาดไปโรงพยาบาลให้หมอถอนฟัน ก็ยังไปเจอเพื่อนพ่อถอนให้ ซึ่งแน่นอนเป็นทหาร เพราะมันเป็นโรงพยาบาลทหาร ยังดีที่ตอนถอนเขาสวมวิญญาณหมอ ไม่ใช่ทหาร เลิกเรียนเดินกลับบ้าน ผมก็จะเห็นน้าคนนั้น ลุงคนนี้ที่แต่งเครื่องแบบทหาร ทักทายกันด้วยการยกมือสะบัดแตะที่หางคิ้ว และไม่ลืมที่จะเตะส้นเท้าชนกันเสียงดังแป๊ะ โคตรเท่เลย ดังนั้นเมื่อครูถามผมว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมจึงไม่ได้ตอบกลับไปว่า “พยาบาลครับ”

สำหรับเด็กผู้ชายแล้ว อาชีพของพ่อมักเป็นหนึ่งในความฝันแรก ๆ ของเรา ในชั้นเรียนของเรา ถ้าใครตอบว่าตัวเองโตขึ้นอยากเป็นอะไร ไม่ต้องสืบให้มากความ พ่อเขาเป็นแบบนั้นแหละครับ

ความฝันของเราล้วนมีรากฐานจากความจริง เราไม่สามารถอยากเป็นในสิ่งที่เราไม่รู้จักได้ เราทุกคนล้วนรับแรงบันดาลใจจากคนอื่น ที่พากันส่งไม้ต่อมาเป็นทอด ๆ ไม่แปลกที่ในชีวิตเราจะมีไม้หลาย ๆ ท่อนที่เรารับมา บางท่อนก็จุดไฟติด บางท่อนก็เปียกน้ำ บางท่อนเราก็แค่วางทิ้งไว้เฉย ๆ กองไว้ที่มุม ๆ หนึ่งในหัวใจเรา ตั้งชื่อมุม ๆ นั้นว่า “ความทรงจำ” และติดลาเบลให้กับมันซักหน่อย กันลืมว่าครั้งหนึ่งเราเคยอยากเป็นอะไร

ความฝันไม่ใช่ภรรยา จะมีเยอะขนาดไหน เราก็ไม่กลายเป็นคนทรยศต่อความฝัน ใช่ไหมครับ

แต่หาได้ยากนักที่คน ๆ หนึ่งจะทำความฝันของเขาทุก ๆ อย่างให้เป็นจริงได้
“อยากเป็น” กับ “อยากทำ” มีระดับความยากที่แตกต่างกัน

คุณเคยอยากเป็นอะไร และคุณเคยอยากทำอะไร

จริง ๆ แล้วแม้จะเคยอยากเป็นทหาร แต่ก็อย่างที่บอกไว้ข้างต้นนั่นแหละครับ ว่าด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าผมเกิดมาผมก็เห็นทหารมาตลอด สำหรับเด็กในวัยนั้นที่ถูกกดดันด้วยคำถามและเรียงความที่ถูกมอบหมายด้วยผู้ มีสิทธิอำนาจที่สุดในห้องเรียน ให้เขียนมาว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมถูกบีบให้ต้องเลือกมาหนึ่งอย่าง และเขียนบรรยายมันลงไปให้เต็มหน้ากระดาษฟูลสแก็บด้วยฟอนต์ขนาด 13-20 point ขึ้นกับความเมื่อยของมือ
ผมไม่มีทางเลือกมากนักหรอกในเวลานั้น ไม่มีใครเป็นแรงบันดาลใจให้ผม ผมยังไม่เจอใครที่จุดประกายให้ผมอยากจะเป็น

ก็ตอนนั้นผมยังไม่ได้อ่านเพชรพระอุมานี่นา

ชีวิตในวัยเด็กเป็นช่วงเวลาที่โลกแห่งความฝันของเราเข้มแข็งที่สุด ความรับผิดชอบในชีวิตยังไม่กดทับตัวเรา เรามีธนาคารออมสินที่ไม่ต้องใช้สมุดในการเบิกอยู่ที่บ้าน และมี 2 สาขาในบ้านเดียวกันด้วย
เวลาเช้ามีคนปลุกเรา แม้ว่าเรายังอยู่ในสภาพงัวเงีย แต่เราก็พบว่าฟันเราถูกแปรง ถูกน้ำชำระร่างกาย มีเสื้อผ้าถูกสวมใส่ตัวเราตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ตายังไม่ลืม โอ้ มหัศจรรย์
ตกเย็นเราวิ่งกลับบ้าน โยนกระเป๋าแล้วออกไปวิ่งไล่เตะลูกบอล โยนลูกข่าง ปาดินน้ำมัน ดีดลูกแก้ว ที่แม้จะพ่ายแพ้ยับเยิน กลับบ้านมาแบบหมดเนื้อหมดตัวขนาดไหน วันเสาร์นี้เราก็ออกไปซื้อใหม่ได้อีกอยู่ดี อย่าลืมซิครับว่าที่บ้านเรามีธนาคารอยู่ 2 สาขา
ชีวิตที่ไม่ต้องมาคอยทุกข์ร้อนและรีบเร่งแข่งขันเพื่อเอาตัวรอด ทำให้โลกอีกใบหนึ่งในตัวเราเติบโตและเข้มแข็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว มันเกลี่ยพื้นที่ เทปูน ลงเสาเข็ม สร้างรากฐาน และขึ้นแท่นเตรียมไว้ รอให้เราเจอใครซักคนหนึ่ง ที่จะมาเป็นแบบให้เราปั้นขึ้นมากลายเป็นไอด้อล ที่ถูกขนานนามว่า “อยากเป็น”
ช่วงเวลานี้ แค่ใครซักคนหนึ่งผ่านเข้ามาในชีวิตคุณ แล้วเขาคนนั้นโคตรเท่ เท่านั้นเอง เราจะเอาสิ่งที่เขาเป็นมาต่อท้ายสิ่งที่เราอยากเป็นในทันที

แล้วผมก็ปล่อยให้ “รพินทร์ ไพรวัลย์” ผ่านเข้ามาในชีวิตของผม

ผมพูดถึงหญิงสาวโรงเรียนเซนต์โยเซฟข้าง ๆ ที่เจอกันบนรถบัสรับส่งนักเรียนในเย็นวันที่เก้าอี้มีที่นั่งว่างเหลือแค่ สองที่ และเป็นเบาะคู่หรือ?
เปล่าครับ

ผมพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง การศึกษาสูงเล่าเรียนผ่านมา 3 ประเทศ แต่กลับมาฝังตัวเองอยู่ในป่าที่กันดารและห่างไกลความเจริญ ประกอบอาชีพเพียงเพื่อเลี้ยงท้องและแม่ที่แก่เฒ่า รักษาคำพูดแม้แลกด้วยชีวิต เมื่อรับงานใครแล้ว ให้สัญญาหมายความว่าสัญญา ลำบากกว่าลูกน้อง ตื่นก่อนนอนที่หลัง ทรหดยิ่งกว่าแรด เก่งหาตัวจับยาก พูดน้อย ปากหนัก หน้าตาย ไร้รอยยิ้ม (แต่กลับกลายเป็นคนยิ้มง่าย ยามคับขัน) ไม่โอ้อวด แต่กวนตีนสำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้หญิง และสุดท้ายก็ขโมยหัวใจเขามาโดยไม่รู้ตัว ภายใต้ใบหน้าที่หยาบกระด้างดังหินผา ความเป็นสุภาพบุรุษและจิตใจอันสูงส่งนั้นอัดแน่นสุมอยู่ภายใน ไม่ต้องพูด ไม่ต้องบอก ไม่ต้องเล่า เราเข้าใจได้เอง

พรานไพรใจฉกาจของคุณหญิงหมอ ผู้ชายแบบนี้แหละที่ผมอยากเป็น

ครับ ผมเจอแล้วครับคุณครู ผมอยากเป็นนายพราน

เสียดายที่หลักสูตร “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” ไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในช่วงม.ต้น ไม่งั้นผมคงได้มีโอกาสออกไปยืนเล่าให้เพื่อนทั้งห้องฟังด้วยดวงตาเป็นประกาย อะดรีนาลีนฉีดพล่านว่าโตขึ้น “กูอยากเป็นนายพราน” แล้วก็รับคำชมท่วมท้นกลับมาว่า “มึงบ้าหรือเปล่า”
เออ ตอนนั้นผมบ้าบอจริง ๆ

ผมอ่านนิยายเรื่องนี้ในช่วงวันหยุดปิดเทอมเดือนตุลาคมปีใดปีหนึ่งในช่วง ชีวิตของผมเนี่ยแหละ เป็นหนังสือนิยายเรื่องแรกที่ผมอ่าน และมันดันเป็นนิยายที่ (น่าจะ) ยาวที่สุดในประเทศไทย (ไม่รู้ว่าชาติบ้านเมืองอื่นเขามีกันขนาดไหน) 52 เล่มจบ (ในสมัยนั้น ปัจจุบันพิมพ์ใหม่เหลือ 48 เล่ม) เล่มละประมาณ 600 หน้า ก็ราว ๆ 30,000 กว่าหน้า อ่านกันแบบ unputdownable กันเลยทีเดียว
วันหยุดปิดเทอมช่วงนั้น แทนที่จะเตะบอล เป่ากบ เขี่ยการ์ด ผมจึงกลับใช้เวลาวิ่งเที่ยวเล่นอยู่ในป่า ตั้งแต่หนองน้ำแห้ง จนถึงหล่มสัก ทักทายกับไอ้แหว่ง ไอ้กุด ไปจนถึงงูยักษ์ไล่ยาวไปจนถึงนิทรานครและขุมเพชรพระอุมา ช่างเป็นการเที่ยวเล่นที่ลืมตาย และเหน็ดเหนื่อยพอสมควร

ถ้าให้คุยเรื่องเพชรพระอุมา ความเรียงตอนนี้คงเรื่อยเปื่อยสมชื่อแน่ ๆ ไว้มีโอกาสจะขอเขียนถึงซักหน่อยแล้วกัน เพราะอ่านจบไป 3 รอบแล้ว ใน 3 ช่วงวงจรชีวิต และก็ร่ำ ๆ อยากจะหยิบมาอ่านอีกซักรอบ

อย่างที่บอก (อีกแล้ว) โลกแห่งความฝันในช่วงเวลานี้มันเติบใหญ่เข้มแข็ง สิ่งที่ก่อร่างสร้างขึ้นในช่วงเวลานี้มักมีรากฐานที่มั่นคงบนซีเมนต์ที่ แกร่งแข็ง
ช่วงเวลานั้น ผมถึงขนาดมองหาเลยทีเดียวว่า โตขึ้นเราจะเรียนคณะอะไรดีที่ทำให้ฝันเป็นจริง
โอเค ใกล้เคียงสุดคือ วนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กูจะเป็นนายพราน 555 จำไม่ได้ว่าตอนนั้นบอกพ่อกับแม่ไปหรือเปล่า

อย่างน้อยแม้วันนี้ผมไม่ได้เป็นนายพรานอย่างที่ฝันไว้ แต่ผมก็อยากเป็นคนอย่างรพินทร์จริง ๆ และอย่างน้อยแม้ผมจะเป็นไม่ได้ทั้งหมดตามนั้น แต่อย่างน้อยผมก็มีมาตรฐานที่ตั้งไว้ให้ตะเกียกตะกายไปถึง แม้จะหล่นลงมา แต่อย่างน้อยผมพยายามที่จะเป็น

ผมคงไม่ใช่คนประเภท Born to be แต่เป็นพวกอยู่ไฟลั่ม Try to be มากกว่า (แต่ที่ผ่านมายังไม่อัพเกรด ยัง Fail to be อยู่)

ผมอยากเป็นคนรักษาสัจจะ อยากตรงต่อเวลา อยากเป็นสุภาพบุรุษ อยากเป็นคนทำมากกว่าพูด อยากเป็นคนเสียสละ อยากเป็นคนที่ลำบากก่อนคนอื่น บางเวลาก็อยากให้ถูกรักจากเพื่อนพ้องลูกน้องและเจ้านายอย่างรพินทร์บ้าง
และแม้อย่างน้อย ผมจะเป็นได้แค่เศษเสี้ยวหนึ่งในบางช่วงบางเวลา แต่อย่างน้อย ผมก็อยากเป็น
นี่แค่อย่างน้อยนะครับ ถ้ามันไม่น้อยล่ะจะดีขนาดไหน

ความฝันทำให้คนทำสิ่งยิ่งใหญ่เกินกว่าตัวตนของเขาได้ ขอบคุณพนมเทียนครับ

อย่างที่บอกไว้ (อีกครั้ง) ในหนึ่งชีวิตที่มีหลายช่วงวงจรเราอาจมีความฝันหลาย ๆ อย่าง แต่สุดท้ายแล้วคุณจะพบความจริงอย่างหนึ่งว่า ความฝันบางอย่างก็มีคำสะกดต่อท้ายว่า “เป็นไปไม่ได้”

หลังจากผ่านช่วงวัยเด็กมาสู่วัยรุ่น ผมและเพื่อน ๆ บางคนพบความฝันอีกอย่างหนึ่งในชีวิต ซึ่งมาเยือนเราในร่างของผู้ชายที่ชื่อ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย
ช่วงนั้นสนุกเกอร์บูมมาก ๆ ครับ ผู้ชายครึ่งห้องบ้าแทงสนุ้กมาก และจำนวนหนึ่งบ้าพอจะเชื่อว่าวันหนึ่งกูจะไปเทิร์นโปรเป็นมืออาชีพ
ครับ ผมเป็นหนึ่งในนั้น
ครูซิเบิ้ลเธียเตอร์คือความฝันของเรา ที่ที่นักสนุ้กเกอร์ทั่วโลกใฝ่ฝันจะไปเยือนในฐานะผู้แข่งขัน คล้าย ๆ กับที่นักบอลอังกฤษฝันจะไปเวมบลีย์ หรือนักเบสบอลญี่ปุ่นฝันจะไปโคชิเอ็ง หรือวาทยกรระดับโลกฝันว่าจะไปคาร์เนกี้ฮอลล์

"ขณะที่ผมเดินหลงทางในนิวยอร์ก ผมถามคนแถวนั้นว่าผมจะไปคาร์เนกี้ฮอลล์ได้อย่างไร เค้าก็ตอบกลับมาว่า คุณต้องซ้อม..ซ้อม..และก็ซ้อม"
มุกตลกของฝรั่งเขาล่ะครับ คุณบัณฑิต อึ้งรังสี เคยเล่าให้ฟังเอาไว้
แต่มันบอกสัจธรรมคุณได้อย่างหนึ่งครับ
ความฝันไม่ได้ใช้หัวใจสร้างให้เป็นจริง แต่ใช้มือและเท้าทำ

คนจำนวนมากปล่อยให้ความฝันเป็นเพียงแค่เรื่องของหัวใจ แต่ไม่เคยออกแรง ไม่เคยผลักมันออกไปที่มือและเท้า
มือทำ เท้าก้าวเข้าหาโอกาส เพิ่มความเป็นไปได้ให้ห่างไกลจากเลขศูนย์
0 กับ 0.1 มีค่าแตกต่างกันมหาศาลในโลกของความฝัน เพราะมันหมายถึง เป็นไปไม่ได้เลย กับ มีโอกาสเป็นไปได้
ดังนั้นเราต้องมองให้ออกครับ ว่าความฝันที่เรามีมันมีค่าความน่าจะเป็นเท่าไหร่
อย่างที่ผมบอก (อีกครั้งหนึ่ง) ว่าฝันบางอย่างก็เป็นไปไม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอายุ 45 ปีแล้ว แต่คุณฝันจะเป็นนักฟุตบอลติดทีมชาติไทยไปเตะบอลโลก ฝันของคุณมีค่าความน่าจะเป็นเท่ากับ 0
แต่ถ้าคุณอายุ 18 ปี แต่คุณไม่เคยเตะบอลมาก่อนเลย คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเลี้ยงลูกยังไง จะยิงยังไง กติกาคุณยังไม่รู้เลย แต่คุณอยากเป็นนักฟุตบอลติดทีมชาติไทยไปเตะบอลโลก อันนี้ “มีโอกาสเป็นไปได้”

ดังนั้นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของความฝันคือมันต้องซิงค์ (Sync) ได้กับความจริง

การที่ของสองอย่างจะซิงค์กันได้ อย่างหนึ่งคือมันต้องมี Platform คล้าย ๆ กัน อธิบายง่าย ๆ ใครใช้ i-Phone แล้วเอาไปต่อกับ PC มันจะไม่เจอกันครับ

โลกของความฝันกับความจริงก็เป็นเช่นนั้น มันต้องสอดคล้องกัน ถ้าคุณฝันอยากเป็นซุปเปอร์แมน รู้แล้วใช่มั้ยครับว่ามันซิงค์ได้ไหม
เมื่อความฝันของคุณอยู่ในข่ายที่ซิงค์ได้แล้ว ขั้นต่อมาก็คือเอามันซิงค์กับความจริง
ง่าย ๆ แค่นั้นเองครับ

เรามักจะเห็นความฝันชัดเจนในยามหลับ แต่เจือจางในยามตื่น เพราะอะไร เพราะโลกแห่งความจริง มีอุปสรรค มีปัญหา มีเรื่องต้องเร่งรีบทำเฉพาะหน้า มีเรื่องต้องทุ่มความสนใจ มีแรงเสียดทาน ตอนนี้เราไม่ใช่เด็กแล้วไงครับ ที่บ้านเราไม่มีธนาคารแล้ว บางคนกลายเป็นธนาคารด้วยซ้ำไป

บางทีโลกแห่งความจริงก็เข้มข้นเกินไปครับ

เราอาจต้องมองโลกแห่งความจริงแบบลำเอียงดูบ้าง มองหาช่องโหว่ในชีวิต โอกาสที่จะทำ เมื่อมองเห็นแล้วแม้จะด้วยสายตาที่ลำเอียง รีบตะครุบมันเอาไว้ ลงมือทำ

กินช้างทั้งตัวให้หมด ต้องกินทีละคำ

ความฝันก็เหมือนกัน บางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ถ้าคุณมองดูมันต่อให้นอนดู ก็เมื่อยได้

ซอยมันเป็นชิ้นเล็ก ๆ ซิครับ เราอาจจะทำมันไม่สำเร็จในทันทีทันใด แต่คุณค่อย ๆ ทำได้ครับ
เวลาเราเล่นเกมส์ภาษา (RPG) พวกไฟนอลแฟนตาซีอะไรพวกนี้ ตัวละครของเราจะมีภารกิจที่ต้องผ่านเหมาะสมกับเลเวลของมัน
คุณทำความฝันให้สำเร็จได้ด้วยการกำหนดเลเวลให้มันครับ แล้วทำให้สำเร็จทีละเลเวล
ถ้าคุณฝันอยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทยไปเตะบอลโลก ต้องทำยังไงครับ
เตะให้มันชนะแถวบ้านก่อน แล้วค่อยกีฬาสีโรงเรียน ทำไปทีละเลเวล วันหนึ่งข้างหน้าความฝันของคุณอาจสำเร็จก็ได้ ผมใช้คำว่า “อาจจะ” นะครับ เพราะมันอาจไม่สำเร็จก็ได้ แต่จะแคร์ไปทำไม ครั้งหนึ่งในชีวิตคุณได้พยายามทำแล้วนี่ครับ
ฝันใหม่อย่างอื่นก็ได้นี่ คุณอาจไม่เหมาะกับนักฟุตบอลก็ได้ หรือถ้าคุณไม่รู้จะฝันอะไร ผมให้ยืมก็ได้ครับ
เป็นนายพรานเอามั้ยครับ พอดีฝันนี้ผมไม่ได้ใช้

อ้อ อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยนะครับ เวลาทำสำเร็จไปหนึ่งเลเวล

คุณอาจไม่รู้อะไรบางอย่างว่า เราทุก ๆ คนล้วนมีโลกเป็นของเราเองคนละใบ เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนั้น วิ่งตามความฝันบ้าง หลงทางอยู่ในความจริงบ้าง โลกของเราหมุนรอบตัวเรา มีชีวิตของเราเป็นแกนโลก แต่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในชีวิตเรานั้น โลกของเราที่โคจรหมุนไปนั้น ผ่านมาทาบทับกันในบางช่วงเวลา บางครั้งก็เคลื่อนมาปฏิสัมพันธ์กัน บางครั้งก็ใช้แกนหมุนร่วมกัน แต่อย่างไรก็ตามรู้ไว้เถอะครับว่าการปะทะกันในบางครั้งของโลกส่วนตัวแต่ละคน อาจนำมาซึ่งการเติมเต็มความฝันให้กันและกัน

เราทุกคนล้วนเคยเป็นส่วนหนึ่งในการทำความฝันของคนอื่นเป็นจริง

ถ้าคุณเดินไปในเซเว่นแล้วหยิบชาเขียวโออิชิขึ้นมากิน (แน่นอนต้องจ่ายตังค์ซื้อก่อน) คุณทำให้ความฝันของคุณตันเป็นจริงแล้วครับ
คุณซื้อแผ่นซีดีเพลงของบร๊ะเจ้าโจ๊กโซคูล คุณทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงแล้วครับ

ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เราต่างเกื้อกูลกันให้ถึงฝันของกันและกัน

กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญครับ แต่ถ้ายังไม่มีคนให้เรา เราก็ให้ตัวเราเอง
อย่ากลัวที่จะทำมันขึ้นมา เพราะมีคนจำนวนมากพร้อมที่จะไม่รู้ว่าเป็นตัวเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฝันเราสำเร็จ
ให้กำลังใจตัวเองครับ

ผมก็มีความฝัน
และตอนนี้เมื่อคิดได้ตามนั้น ผมก็มีกำลังใจครับ

ถ้าคุณเป็นคนเคยฝัน เคยอยาก ผมแนะนำสองอย่างนะครับ ถีบตัวเองลุกขึ้นมาทำความฝันให้เกิดขึ้น หรือไม่ก็หาใครซักคนถีบคุณขึ้นมา
อันนี้พูดจริง บางครั้งเราถีบตัวเองไม่ขึ้น คุณต้องหาใครซักคนหนึ่งมาช่วยถีบ อาจเป็นคนที่คุณจะแชร์ความฝันกับเขาได้ เล่าความฝันให้เขาฟัง เพื่อให้เขาช่วยกระตุ้นคุณ ให้กำลังใจคุณ เขาอาจจะเป็นเพื่อน เป็นแฟน เป็นพ่อเป็นแม่คุณก็ได้

บางครั้งผมก็ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังว่าผมฝันอยากเป็นอะไรเพราะกลัวว่าในมุม มืดของใบหน้า เขาจะแอบหัวเราะเยาะเอา แต่บางครั้งผมก็ตัดสินใจเล่าให้บางคนฟัง เพื่อเผาสะพานตัวเอง ไม่ให้ถอยหลังกลับอีกต่อไป

ก็มันดันประกาศไปแล้ว ยังไงก็ต้องทำให้ได้ กดดันตัวเองบ้างก็ดี

หรือคุณอาจจะให้ศัตรูหรือคู่แข่งคุณถีบคุณก็ได้

อ้าว ทำเป็นเล่นไป หลายคนประสบความสำเร็จเพราะมีคู่แข่งที่ดีนะครับ ดูอย่างโอลิเวอร์ คาห์นกับ เยนส์ เลห์มันซิครับ สองคนนี้เป็นสุดยอดผู้รักษาประตูแห่งยุคของเยอรมัน แต่ฟ้าให้เลห์มันเกิดมาใยถึงส่งคาห์นมาด้วย เลห์มันต้องเป็นมือสองอยู่ร่ำไป แต่เขาไม่สนใจ เขาซ้อม ๆ ๆ แล้วก็ซ้อม สองคนนี้ไม่ถูกกันนะครับ เพราะความที่ชิงกันเป็นที่หนึ่ง เหมือนฟ้าจะแกล้งเลห์มัน คือถ้าคาห์นไม่เจ็บไม่ตายไปซะก่อนยังไงซะเขาก็เป็นมือหนึ่งจนรีไทร์นั่นแหละ แต่สุดท้ายโอกาสก็มาถึงวันที่โค้ชเลือกที่จะให้โอกาสเลห์มันทดลองเป็นมือ หนึ่งแทน เขาได้โอกาส และเขาฉวยมันไว้ได้ เพราะแรงถีบของคู่แข่งเขา ภาพแห่งความประทับใจของแฟนบอลครั้งหนึ่งในการดูบอล คือนัดที่เยอรมันต้องดวลลูกจุดโทษกับใครซักทีมหนึ่งนี่แหละ แล้วคาห์นเดินมาจับมือเลห์มันและให้กำลังใจประมาณว่า “กูเชื่อ มึงทำได้” ทำให้น้ำตาลูกผู้ชายอย่างเรา ๆ ซึมออกมาได้ นับจากนั้นมาเลห์มันก็เป็นมือหนึ่งทีมชาติแทนคาห์นจนรีไทร์ไปทั้งสองคน

เลห์มันเคยหล่นคำให้สัมภาษณ์ไว้ประมาณว่า ความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะโอลิเวอร์ คาห์นทำให้เขามีวันนี้
ทั้งสองคนนี้เป็นศัตรูคู่แข่งกันในชีวิตแต่ต่างยอมรับซึ่งกันและกัน
และในวันเวลาใดเวลาหนึ่งที่ผ่านมา โลกของเขาต่างโคจรมาทาบทับกันและช่วยกันทำให้ฝันของอีกฝ่ายเป็นจริง

มาถีบกันและกันเถอะครับ
เพื่อให้ความฝันมันซิงค์กับความจริง

ตอนนี้ผมก็มีความฝัน เป็นความฝันที่ผมเพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่นายพราน ไม่ใช่นักสนุ้กเกอร์ แต่เป็นความฝันที่คิดเอาไว้ว่ายังไง ๆ ให้ตาย ชีวิตนี้ก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้

แต่ที่ผ่านมาผมทำมันไม่สำเร็จ

ความผิดพลาดอย่างหนึ่งในชีวิตผมคือ (คิดว่า) เกิดมาเป็นพวก Perfectionist
ถ้าจะทำอะไรที่อาจจะออกมาไม่สมบูรณ์ ส่วนใหญ่แล้วผมจะเลื่อนมันไปทำทีหลัง แล้วไปทำสิ่งที่มีค่าและสำคัญกว่าในชีวิตก่อน
ตัวอย่างเช่น หาทางแก้ไขปัญหาความตกต่ำของลีเวอร์พูล มองหาผู้จัดการทีมดี ๆ ที่จะมาคุมทีมรักของเราให้ได้แชมป์ วิเคราะห์ว่าปีนี้ใครจะได้รางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หนังสือเล่มไหนจะได้รางวัลซีไรท์ประจำปี ใครจะขึ้นรับรางวัลอิกโนเบลในปีนี้ ซัดดัม ฮุสเซนตายแล้วจริง ๆ หรือ ปัญหาภาคใต้จะแก้ยังไง และอนาคตทางออกการเมืองไทยจะเป็นยังไงต่อไป

“ไม่ perfect ไม่ Launch ออกมา” หนึ่งในครีมบำรุงหน้าที่ทำให้ผมใช้ (อ้าง) เพื่อรักษาหน้า มากกว่ารักษาใจ

แต่นั่นคือที่ผ่านมา
กรุณาย้อนกลับไปอ่านตอนต้นอีกครั้ง ผมโมโหมากที่ถูกถามคำถามนี้ “แล้วตอนนี้คุณทำอะไรอยู่”
เปล่าผมไม่ได้โมโหนิ้วกลม ผมโมโหตัวเอง โมโหจนทนตัวเองไม่ไหวแล้ว

จริงอยู่ที่เช กูวาร่าตายไปแล้ว แต่ความฝันของเขาไม่ได้ตายตามไปด้วย (อย่างน้อยเขาก็ถูกจารึกไว้ท้ายสิบล้อล่ะน่า)
แม้วิลเลี่ยม วอลเลซจะสิ้นชีพบนลานประหาร แต่ถ้อยคำ Freedommmmm. ของเขาทำให้ความฝันของเขาที่จะปลดปล่อยอิสรภาพให้กับสก็อตแลนด์ไม่ตายจากไป

ใช่

ความฝันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่ไม่มีวันตาย แต่กลับถูกทำลายด้วยการเลื่อนไปทำวันพรุ่งนี้แล้วกัน

พรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง

“พรุ่งนี้แล้วกันนะ” ช่างเป็นถ้อยคำที่เป็นดังอาวุธร้าย ทรงพลานุภาพ ทำลายทุก ๆ ความฝันที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ ที่ตลกร้ายกว่านั้น คือคนทำลายคือเจ้าของมันเอง

ถ้าหากเปรียบความฝันของคนเราเหมือนทารกน้อยที่เราให้กำเนิดขึ้นมา เราก็อยู่ในสถานะพ่อแม่ มีหน้าที่ต้องดูแลเอาใจใส่ เลี้ยงดูให้เติบโต เราคงไม่สามารถหวังให้เขาเป็นผู้ใหญ่ได้ในวันเดียว ทุกอย่างต้องใช้เวลา
ขอแค่คุณเลี้ยงเขาให้ดี อย่าทิ้งขว้าง อย่าละเลย ไม่ใยดี เมินเฉย ตามมีตามเกิด อย่าสปอยล์จนเคยตัว อย่าโอ๋จนหลงระเริง แต่สนับสนุนเขา เกื้อหนุนเขา ฝึกฝนเขา และให้กำลังใจเขา

วันหนึ่งเขาจะเติบโตขึ้นจากเด็กน้อยนามว่า “ความฝัน” กลายเป็นหนุ่มใหญ่ นามว่า “ความจริง” ได้

แต่ถ้าไม่อย่างนั้น คุณอาจเผลอกลายเป็น “พ่อแม่รังแกฝัน” โดยไม่รู้ตัว

ผมก็มีความฝัน

เมื่อสายตาของคุณส่งสัญญาณบอกสมองคุณว่าได้อ่านมาถึงประโยคนี้แล้ว ผมต้องขอขอบคุณพวกคุณทุกคน (ซึ่งอาจมีหลายคน) เพราะโลกของคุณได้โคจรมาทาบทับโลกของผมในช่วงเวลาหนึ่ง
และคุณเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมได้วางฝ่าเท้าของก้าวแรกลงบนพื้นโลกแล้ว ที่เหลือต่อไปคือการก้าวต่อ
เมื่อคุณเริ่มอ่านตั้งแต่ต้นจนถึงตอนจบ
ผมก็มีความฝันครับ และตอนนี้มันซิงค์กับความจริงแล้ว แม้จะแค่เลเวลแรก แต่มันก็ห่างไกลจากเลขศูนย์มากขึ้นแล้ว
ขอบคุณครับ

แล้วผมฝันอยากเป็นอะไรเหรอ? ก็นั่นไงครับที่คุณอ่านมา
ความฝันผมออกมาอยู่ที่มือและเท้าแล้ว คุณล่ะ มันอยู่ที่ไหน?




ปล. 1 พยายามคิดชื่อคอลัมภ์ไว้หลายอย่าง แต่ยังไม่ถูกใจ จะ "ลังเลเรียบเรียง" หรือจะเป็น "อิหลักอิเหลื่อเรียบเรียง" "ลักลั่นเรียบเรียง" ... แต่ดูแล้ว แ่ต่ละชื่อไม่ได้มีความมั่นใจเลยซักนิด
ตอน นี้จึงขอใช้ชื่อ "เรียบเรียงเรื่อยเปื่อย" ไปก่อน จนกว่าจะเจอชื่ออื่นที่ถูกใจแล้วค่อยเปลี่ยน (มีใครเขาทำกันอย่างนี้บ้างไหมเนี่ย)

ปล. 2 ตอนแรกตั้งใจจะเขียนสั้น เขียนไปเขียนมา ยาวจนได้ ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ