รีวิวกึ่งวิจารณ์ บทความนี้ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญของเรื่องครับ
หลังจากผมได้ลิ้มรสชาติของซีรี่ย์อเมริกา โดยเริ่มต้นจาก 24 แบบนันสต็อบ และต่อด้วย Lost หลังจากนั้นมาก็ไม่เคยได้ดูซีรี่ย์เกาหลีอีกเลย
ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่เพราะมันไม่มีเวลา ถ้าจะมีเวลาซักหน่อย ก็จะเอาเวลาไปตามดูซีรี่ย์ฝั่งอเมริกา ทั้งแบบที่ตามหลังชาวบ้านกับแบบที่ว่าอเมริกาฉายเมื่อไหร่ ก็ดูต่อจากบ้านเขาเลย สัปดาห์ละตอน และหลายเรื่อง
ดังนั้น Iris จึงเป็นซีรี่ย์เกาหลีเรื่องล่าสุดที่ได้ดูหลังจากห่างหายจากวงการไปหลายปี
เพราะ Kim Tae Hee แท้ ๆ คนเดียว
Iris เป็นภาพยนตร์ซีรี่ย์ฟอร์มยักษ์ของเกาหลี (ลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท) ที่จับเอาเรื่องราวที่จริงจัง และขึงขัง อย่างเช่นหน่วยงานลับ หน่วยข่าวกรอง หน่วยต่อต้านการก่อการร้าย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ การหักหลัง ลอบสังหาร เฉือนคม ชิงไหวชิงพริบ ด้วยการทำงานแบบไฮเทค และฉากแอคชั่นวินาศสันตะโร มีอะไรอีกล่ะ ที่หนังแอคชั่นแนวสืบสวนจะมี
แต่สิ่งที่ทำให้หนัง (ขอเรียกว่าหนังแล้วกันนะครับ แม้จะเป็นเป็นหนังซีรี่ย์) เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ คือการที่หนังมีเรื่องราวความรักระหว่างพระเอก นางเอก , พระรอง นางเอก , นางรอง พระเอก และ .... พระเอก พระรอง อันหลังนี้พูดเล่น
หนังเล่าเรื่องราวของเพื่อนรัก 2 คน คือ ฮยอนจุน นำแสดงโดย Lee Byung Hun (อีบยองฮอน) และ ซาวู นำแสดงโดย Jeong Jun Ho (จองจุนโฮ) ที่สนิทสนมกันเหมือนพี่น้อง ทั้งสองต่างเรียนในโรงเรียนทหารมาด้วยกัน ร่วมทุกข์ ร่วมสุขมาด้วยกัน แล้ววันหนึ่งทั้งคู่ก็ได้ถูกรับเลือกให้เข้าร่วมทำงานกับองค์กรลับของเกาหลีใต้ ซึ่งเปรียบเสมือนหน่วยงานรักษาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Secret หรือ NSS
ทั้งคู่ต้องปฏิบัติงานในฐานะสายลับให้กับองค์กร โดยมีหัวหน้าเป็น สายลับสาวสวยชื่อว่า ซังฮี (ชื่อคล้าย ๆ สะพานกรุงธน) รับบทโดย Kim Tae Hee (คิมแตฮี) โดยเธอเป็นตัวแปรสำคัญที่มาแทรกกลางระหว่างความสัมพันธ์ของเพื่อนรักทั้งสอง เพราะเธอได้กลายเป็นรักแท้ของคนหนึ่ง และถูกแอบรักโดยอีกคนหนึ่ง (เริ่มเห็นแววเกาหลี)
เรื่องราวดำเนินไปด้วยการพบรักกันของฮยอนจุน กับซังฮี และความผิดหวังที่ข่มเก็บไว้ของซาวู สลับกับการดำเนินปฏิบัติการที่ทั้ง 3 ต้องร่วมกันรับผิดชอบในภารกิจลับสำคัญร่วมกัน การพิสูจน์ฝีมือของฮยอนจุนและซาวูได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่ในองค์ ทั้ง 3 คนจึงได้ปฏิบัติภารกิจสำคัญระดับชาติร่วมกัน แต่เมื่อภารกิจสำเร็จ กลับเป็นฮยอนจุนที่ถูกเรียกตัวด้วยคำสั่งลับให้ทำภารกิจอีก 1 อย่างแต่เพียงลำพังคนเดียว ซึ่งเป็นภารกิจที่ยากและเสี่ยงต่อความตาย แต่เมื่อจบจากภารกิจ เขาต้องการความช่วยเหลือจากกำลังสนับสนุน กลับพบว่าสิ่งที่เขาหวังไว้นั้น อาจไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง เขาจำเป็นต้องต่อสู้และดิ้นรนด้วยกำลังของตัวเขา เพื่อหนีจากสถานการณ์คับขัน และได้พบกับความจริงที่โหดร้ายอย่างหนึ่งว่า แม้หากว่ารอดไปได้ ชีวิตเขาคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ในหนังเราจะได้พบกับตัวละครอื่น ๆ ที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องนอกจากตัวละครหลัก 3 คนนี้ เช่น คิมซอนฮวา เจ้าหน้าที่สาวสวยแห่งหน่วยงานความมั่นคงเกาหลีเหนือ ผู้ยอมทิ้งชีวิตของตัวเอง ตามไล่ล่าพระเอก เพื่อแก้ตัวในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่กลับได้พบว่า ศัตรูคนสำคัญที่สุดในชีิวิตของเธอ กลับกลายเป็นคนที่ทำให้เธออยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วกว่าเธอจะรู้ตัว เธอก็มอบหัวใจให้เขาไปเสียแล้ว แต่น่าเศร้าและน่าเสียดาย ที่ที่ว่างในหัวใจของเขาไม่มีที่ว่างเหลือให้กับเธอเลย
ปาร์คชุนยอง หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของเกาหลีเหนือ ผู้ยืนอยู่ตรงข้ามกับพระเอกในฐานะศัตรู แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันให้ต้องร่วมมือกันในภารกิจสำคัญ
และวิค นักฆ่าหนุ่มเลือดเย็นที่ทำงานให้กับองค์กรลับ Iris มีหน้าที่ตามสังหารเป้าหมายตามที่ได้รับมอบหมายจากองค์กร รับบทโดย Top นักร้องชื่อดังจากวง Bigbang
ผมขึ้นต้นบทความด้วยการบอกเหตุผลในการดูเรื่องนี้ของผมนั่นคือมีคิมแตฮีแสดงในเรื่องนี้ แต่เมื่อดูผ่านไปเรื่อย ๆ กลับพบว่าคนที่ทำให้เรื่องสนุกสนานได้รสชาติที่หลากหลาย แบกรับหนังทั้งเรื่องไว้กับตัวเอง และมอบการแสดงระดับยอดฝีมือให้เราได้ชม คือ อีบยองฮอน
คุณไปถามผู้หญิงทุกคนที่ดูเรื่องนี้จบ (หรือถ้าไม่รู้จะถามจากที่ไหน ก็ลองหาอ่านความเห็นตามกระทู้หรือเวบรีวิวดูก็ได้) เกือบทั้งร้อยคนที่ดูหนังเรื่องนี้มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "พระเอกไม่เห็นจะหล่อ" หรือบางคนก็บอกว่า "รับไม่ได้ นี่เหรอพระเอก" แต่ถ้าคำพูดที่ว่า "อย่าตัดสินหนัง ถ้าคุณยังไม่ได้ดู และอย่าตัดสินนักแสดงที่รูปร่างหน้าตา" เป็นจริง (ซึ่งผมเป็นคนพูดเอง ที่นี่แหละ) เพราะถ้าคำพูดนี้จะเหมาะกับใครมากที่สุด ก็คงเป็น อีบยองฮอนเนี่ยแหละ
ในยุคที่พระเอกเกาหลีมีแต่ขาวตี๋ หน้าตาและทรงผมดุจเทพเจ้า อีบยองฮอน เป็นพระเอกแถวหน้าเกาหลีที่ยืนหยัดต้านกระแสนี้ ต้องคนที่ดูหนังของเขาเท่านั้นจะพบว่าเขามีพลังความเป็นซุปเปอร์สตาร์อยู่ในตัวสูงมาก
ไปถามได้อีกเช่นกัน ผู้หญิงแทบทุกคนที่ดูเรื่องนี้จบ จะบอกได้ว่า "พระเอกโคตรเท่ห์" "มีสเน่ห์มาก" "แสดงดีสุด ๆ" นี่เป็นส่วนหนึ่งของคำชมที่เขาสมควรได้รับ
จริงอยู่ที่ว่าทุกวินาทีที่คิมแตฮีขึ้นจอ จะทำให้โลกนี้สดใส เหมือนกับว่าติดสปอตไลท์ 15,000 วัตต์ไว้ทุก ๆ 1 เมตร รอบตัวเรา เธอให้การแสดงที่ดีเยี่ยม เหมือนที่พิสูจน์ตัวเองในผลงานการแสดงมาตลอด (อย่าไปเอาหนังโรงบางเรื่องมาคิด) และบทบาทใน Iris ก็เปิดโอกาสให้เธอได้แสดงอารมณ์ที่หลากหลาย ยามตกหลุมรัก เราก็รับรู้ได้เลยว่านี่คือผู้หญิงที่กำลังมีความสุขที่สุดในโลก ยามแสดงออกแบบกุ๊กกิ๊ก หรือต้องรักแบบแอบ ๆ ซ่อน ๆ ก็ทำให้เราอมยิ้มแก้มแทบปริ กับการแสดงที่มีจริตจก้าน น่าเอ็นดู
สำหรับการรับบทหนังแอคชั่นเรื่องแรกของเธอ (เช่นกัน อย่าไปเอาหนังฟาดฟันกระบี่กันโช้งเช้งมาคิด) ถือว่าสอบผ่าน ต้องขอบคุณผู้กำกับ และคนกำกับคิวบู๊ด้วย ที่ทำให้ฉากบู๊ต่อสู้ออกมาสมจริงสมจังพอที่เราจะเชื่อได้ว่าคนอย่างนางเอกจะสู้ได้แบบนั้น โดยเฉพาะฉากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในสำนักงานของ NSS ที่ต้องต่อสู้แบบที่เรียกว่า "สู้เพื่อชีวิต" ฉากนั้นทำออกมาได้ถึงอารมณ์ใกล้เคียงฉากต่อสู้ตัวต่อตัวในหนังอย่าง The Bourne Identity ได้เลย แม้อาจจะดูเหลือเชื่อไปบ้างจากการฟื้นตัวหลังจากนั้นก็ตาม
กลับมาที่พระเอกของเรา แน่นอนที่ว่าบทของหนังให้พระเอกเป็นตัวสำคัญที่เป็นแกนของเรื่อง ทำให้เขาได้มีโอกาสพิสูจน์ฝีมือให้เราได้เห็นอย่างเต็มที่ อีบยองฮอนแสดงเป็นผู้ชายอารมณ์ดี ฉลาด กล้าได้กล้าเสีย และโรแมนติค เหมือนว่าทุกสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ทำมันจะ "โดน" ไปทั้งหมด ไม่แปลกใจที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรักเขาอย่างสุดหัวใจ
ฉากที่เขาต้องแสดงเป็นคนทะเล้น หน้าเป็นหรือหยอกล้อ ทำให้เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้มีแรงดึงดูด ทุกครั้งที่เขายิ้ม มันช่างจริงใจและก็แฝงไว้ด้วยความขี้เล่นไปในตัว ต้องบอกว่าถึงแม้ไม่หล่อแต่มีสเน่ห์เหลือล้น (นี่ผมกำลังชมผู้ชายอยู่หรือเนี่ย) ส่วนเราถึงไม่หล่อแต่จนนะเออ 55
ว่ากันที่ฉากดราม่า ซึ่งเป็นช่วงเวลาส่วนใหญ่ของหนังเรื่องนี้ ผมไม่อยากพูดบรรยายมาก บอกได้แค่ว่า บยองฮอน เป็นคนที่แสดงออกทางสายตาได้ดีมาก ๆ หลายต่อหลายฉากที่เราสามารถมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วรับรู้ได้เลยว่าชายคนนี้เศร้าขนาดไหน อย่างฉากที่เขาต้องเจอกับนางเอกหลังจากไม่เจอกันนาน ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ ทำให้ไม่สามารถแสดงออกได้ ต้องปิดบังไว้ แต่สิ่งที่ถูกสื่อสารผ่านดวงตาของเขามันบอกทุกอย่าง โดยไม่ต้องมีสคริปท์พูดแต่อย่างใด
ฉากกระแทกใจตอนหนึ่ง คือตอนที่เขาต้องลงมือซ้อมนางเอกเพื่อปิดบังความจริง และเพื่อช่วยชีวิตนางเอก ก็แสดงออกมาได้สะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง
และช่วงเวลาที่ฮยอนจุนอยู่กับซอนฮวา บทบาทการแสดงของเขาก็สื่อสารอารมณ์ออกมาได้ดี อารมณ์ของผู้ชายที่แม้จะอยู่ใกล้สาวสวยที่เขารู้ว่า เธอรักเขาอยู่ แต่เขาก็ไม่สามารถก้าวข้ามเส้น และปันใจให้เธอได้ เพราะเขามีคนอื่นอยู่แล้วเต็มหัวใจ เราจะได้เห็นการแสดงออกให้น้อยแต่สัมผัสมาก จากการแสดงของทั้งสองคน
คู่พระ - นางของเราแสดงรับส่งบทบาทกันได้อย่างดีทั้งในยากสุขและเศร้า ยามเจอและจากจร จนแม้กระทั่งหนังเรื่องนี้จบลง
ว่ากันที่นักแสดงอีกรายที่มีบทบาทมาก เปล่า ผมไม่ได้พูดถึงจองจุนโฮในบทซาวู พระรองของเรา เพราะขี้เกียจพูดถึงผู้ชายมากไปกว่านี้ ใช่ เขาก็แสดงได้ดีตามระดับมาตรฐาน แต่คงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่รัศมีจะถูกทาบทับเมื่อต้องมาประกบกับการแสดงของบยองฮอนในเรื่องนี้ แต่ผมจะขอพูดถึงนางรองของเรื่องซักนิด คิมโซยอน อาจได้เกิดจากการแสดงในเรื่องนี้ เธออาจมีผลงานมาไม่น้อย แต่คงไม่มีบทไหนทำให้คนจดจำเธอได้มากเท่าบทของเจ้าหน้าสาวสวยเซ็กซี่ ในมาดผมสั้น แววตาโศกเศร้าตลอดทั้งเรื่อง อย่างบทของ คิมซอนฮวาในเรื่องนี้อีกแล้ว
โซยอนต้องแสดงเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ของเกาหลีเหนือที่ตามไล่ฆ่าพระเอกเพื่อแก้ตัวให้กับผลงานความล้มเหลวของเธอ ถ้าเธอทำพลาด เธอจะไม่มีที่ให้กลับอีกต่อไป แต่เธอกลับพบว่าคนที่เธออยากฆ่ามากที่สุดกลับเป็นคนที่ปฏิบัติต่อเธอไม่เหมือนใคร ๆ ที่เธอเคยเจอ ซึ่งนั่นทำให้ซอกมุมมืดในหัวใจของเธอถูกเปิดไฟให้สว่างสไวขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายนั้นนานแค่ไหนแล้ว
ฉากที่เธอกินข้าวที่พระเอกเอามาให้ทั้งน้ำตา และฉากที่เธอจับมือพระเอก ตอนที่เดินเงียบ ๆ ไปด้วยกัน ทำให้เราสงสารผู้หญิงคนนี้จับใจ สุดท้ายแล้วแม้เธอจะรู้ว่าเขาไม่อาจรักเธอได้ แต่อย่างน้อยเธอก็มีความสุขเงียบ ๆ อยู่ในใจ ที่มีใครคนหนึ่งอยู่ในหัวใจของเธอ
"แม้จะรวดร้าวแต่ได้รัก" ก็พอแล้ว
ถ้าจะว่ากันที่สัดส่วนความยอดเยี่ยมแล้ว Iris คงมีสัดส่วนความดีงามของเรื่องราว Romantic Drama กับ ส่วนที่เป็น Action Thriller ซัก 70/30
ว่าไปแล้ว Iris ก็เปรียบเสมือน 24 ในเวอร์ชั่นหนังรักเกาหลีประเภทเศร้าซึ้งนั่นเอง และไม่ทราบว่าผู้สร้างได้แรงบันดาลใจมาจาก 24 หรือไม่ แต่ผมอยากจะเชื่อว่าต้องได้อิทธิพลมาบ้างไม่มากก็น้อย เอาเฉพาะ ฉากที่เป็นสำนักงานของ NSS ก็มีส่วนคล้าย 24 อยู่บ้างเหมือนกัน
สิ่งที่เป็นข้อด้อยของ Iris คงเป็นเรื่องของความสมเหตุสมผลและความสมจริงที่บางฉาก บางตอนยังอ่อนอยู่ บางครั้งหนังตั้งธงไว้ให้กับตัวเองว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แล้วจึงค่อยคิดหาวิธีและเหตุผลมารองรับ ซึ่งบ่อยครั้งที่ทางออกของหนังดูอ่อนเกินไป
ตัวละครบางตัวอาจทำเรื่องไม่สมเหตุสมผลเพื่อรองรับวัตถุประสงค์บางอย่างของหนัง ทั้ง ๆ ที่มีทางเลือกให้ทำอย่างอื่นซึ่งดูดีกว่า
หรือหลายครั้งที่การสืบสวนบางเรื่องทั้งที่ฝ่ายพระเอกทำหรือผู้ร้ายทำ มันดูง่ายดายจนเกินไป ยกตัวอย่างเช่น ตัวละครหนึ่งที่หลบซ่อนตัวเองมาได้นานถึงหลายสิบปี แต่กลับถูกค้นพบโดยกลุ่มผู้ร้ายและถูกตามฆ่าได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่แทบจะไม่มีเบาะแสใด ๆ เลย
แต่ถามว่าทั้งเรื่องที่เราได้ดู มีแต่ฉากที่เราต้องส่ายหัวหรือเปล่า ก็ไม่ใช่เช่นนั้น เป็นเพียงแค่บางฉากเท่านั้น แต่โดยรวมก็ยังถือว่าโอเคอยู่ เพียงแต่ว่าความที่เห็นหนังยาว ทำให้เราอาจได้เห็นความบกพร่องนี้หลายครั้ง ก็เท่านั้นเอง น่าเสียดายที่ถ้าได้มือเขียนบทที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มารับหน้าที่น่าจะทำให้หนังมีพลังได้มากกว่านี้
นอกจากนี้การกระจายบทบาทการแสดงภายในเรื่องยังทำได้กระท่อนกระแท่น บทสมทบอย่างเจ้าหน้าที่ด้านอื่น ๆ ใน NSS ที่ถูกแนะนำในตอนต้นเรื่อง แทบไม่มีบทบาทอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในเรื่องเลย บางบทก็โผล่เข้ามาโดยปราศจากที่มาที่ไปที่ชัดเจน
แต่อย่างที่บอกว่าสิ่งเหล่านี้ถูกกลบด้วยการแสดงของพระ - นางประจำเรื่อง และเรื่องราวความ 4 เส้าที่เกิดขึ้น การตัดต่อเรื่องราวที่เน้นไปที่ความสัมพันธ์ของตัวละครหลัก สลับกับฉากแอคชั่นระทึกใจถือว่าทำให้ลงตัว ให้น้ำหนักการสับเปลี่ยนอารมณ์ของหนังได้ราบรื่นดี เสียตรงที่ว่า สำหรับคนที่ดูรวดเดียวจบแบบผม อาจจะรู้สึกว่ามีฉากรำลึกอดีตเยอะเกินไปหน่อย แต่ก็หยวน ๆ เพื่ออรรถรสของส่วนที่เป็นหนังรัก
น่าเสียดายที่ฉากจบช่วงท้าย ๆ ของเรื่อง ที่หนังหาทางออกให้ตัวละครบางตัวนั้นดูขาดความสมเหตุสมผลไปหน่อย และสูญเสียพลังของเรื่องราวไปในช่วงไคลแมกซ์ แต่เมื่อหนังดำเนินเรื่องมาถึงช่วงท้ายของสุดท้ายจริง ๆ จนจบ ก็ทำให้ผมพึงพอใจไปกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน 20 ตอนที่ผ่านมา
จนแม้ว่าหลับตานอนไปแล้วก็ยังไม่สามารถสลัดเรื่องราวออกไปได้ เหมือนว่าเปลือกตาของผมนั้นถูกประทับไว้ด้วยเรื่องราวความรักของฮยอนจุนและซังฮี เพลงประกอบหนังเรื่องนี้ก็บรรเลงอยู่ในหัวเหมือนแผ่นเสียงที่กำลังเปิดวนไปวนมาอยู่บนเครื่องเล่นเพลง (จริง ๆ แล้วโหลดจาก youtube เอา) ความซึ้ง เศร้า และประทับใจก็เกาะกินใจผู้ชมอย่างผม และคิดว่าอีกหลายท่าน ไปชั่วระยะหนึ่ง แม้ว่าหนังจะจบไปแล้ว
เว่อร์ขนาดนั้น 555
ผมให้คะแนน 8/10 ครับ สำหรับซีรี่ย์เกาหลีเรื่องแรกในรอบ 4 ปี ของผม
นิดนึงครับ ส่วนดีงามอย่างนึงของเรื่องนี้คือ Score ครับ หนังมีเพลงประกอบที่ทำออกมาได้เหมือนว่าผู้แต่งและผู้ร้องสามารถซึมซับอารมณ์ของหนังมาไว้ในตัวเขาได้ มีท่วงทำนองที่แฝงความยิ่งใหญ่ของเรื่องราว แต่ก็เศร้า ซึ้ง และเปล่าเปลี่ยว เหมือนคนสองคนที่รักกันด้วยสุดชีวิต แต่ต้องจำจากกัน
ตอนที่ผมดูหนังเรื่องนี้จบ ผมยังไม่รู้ว่า เพลงธีมหลักของเรื่องนี้ มี 2 เพลง เป็นผู้ชายและผู้หญิงร้อง จนเมื่อต้องมาตามฟังจาก Youtube อีกที อ้าว คนละเพลงกันนี่หว่า ตอนแรกนึกว่าเพลงเดียวร้องคนละเวอร์ชั่น
ลองฟังกันดูครับ
Love of Iris ผู้ชายร้อง Shin Seung Hoon
Do not forget ผู้หญิงร้อง Baek Ji Young
ได้ข่าวว่าเรื่องนี้ช่อง 7 ซื้อไว้แล้ว ไม่แน่ใจว่าจริงเท็จแค่ไหน
อ่านแล้วอยากดูขึ้นมาทันใด
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
กว่าหนังจะจบ ก็รู้สึกตัวว่าได้แอบหลงรัก ฮยอนจุน ไปแล้วค่ะ
ตอบลบขนาดผมเป็นผู้ชายแท้ ๆ ผมยังชอบพระเอกเลยครับ ^_^
ตอบลบหนังน่าดูมากเลย แต่ไม่เข้าใจทำไมพระเอกต้องมาตายตอนจบ
ตอบลบถึงจะดูช้าไปหน่อย แต่ก็สนุกมากค่ะ
ตอบลบจบเศร้าจัง แต่เป็นสัจธรรมของโลก ต้องฆ่าผู้อื่นหลายชีวิต สุดท้ายเราก็ต้องตายในรูปแบบนั้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือเลว
ตอบลบ