รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญครับ
อิคิงามิ (Ikigami) สาส์นสั่งตาย เป็นหนังอีกเรื่องที่ได้สร้างจากการ์ตูนชื่อดังในชื่อเดียวกัน (ผมได้อ่านถึงเล่ม 5 ชอบสุด ๆ)
ทราบมาว่าการ์ตูนหรือที่เรา ๆ ท่าน ๆ ชาวเฉลิมไทยเรียกว่ามังงะ ได้รับความนิยมมากมียอดขายทะลุล้านเล่ม และมีบริษัทผลิตหนังถึง 53 บริษัทเสนอแย่งกันผลิตหนังจากการ์ตูนเรื่องนี้ แต่สุดท้าย TBS ก็ได้ไป
อิคิงามิเป็นเรื่องราวในช่วงที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ออกกฏหมายที่ชื่อว่า "กฏหมายเพื่อผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ" โดยเด็กทุกคนเมื่อเข้าสู่ชั้น ป.1 จะต้องถูกฉีดวัคซีนที่มีนาโนแคปซูลฝังลงไว้ในตัวทุกคน และเมื่อถึงอายุ 18-24 ปี แคปซูลจะแตกตัวออกที่เส้นเลือดใกล้หัวใจตามวันและเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและทำให้คนนั้นตายในทันที โดยมีอัตราส่วนที่ 1 ในพันคน
ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองจะตายหรือไม่ หรือตายเมื่อไหร่ มีเพียงรัฐบาลเท่านั้นที่ทราบ
โดยกฏหมายนี้บัญญัติขึ้นเพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าการมีชีวิตอยู่ ซึ่งถือเป็นรากฐานของประเทศ (ตามที่กล่าวอ้างในเรื่อง) เพื่อคนทุกคนจะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า เพราะไม่รู้ว่าวันเวลาของตัวเองจะหมดลงเมื่อไหร่
ฟูจิโมโตะ พระเอกของเรื่อง (รับบทโดยโชดะ มัตสึดะ) เป็นคนหนุ่มไฟแรงที่มาทำงานในตำแหน่งผู้ส่งสาส์น อิคิงามิ
อิคิงามิ เป็นใบแจ้งมรณกรรมล่วงหน้า โดยทางเจ้าหน้าที่รัฐบาลจะแจ้งให้ผู้ที่ต้องเสียชีวิต (หรือสละชีพเพื่อชาติ) ทราบล่วงหน้า 24 ชั่วโมง เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้สะสางเรื่องราวของตัวเอง ได้ร่ำลาคนที่ตัวเองรัก ได้ทำสิ่งที่ยังไม่ได้ทำที่ติดค้างอยู่ โดยรัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ที่พัก อาหารการกินทุกอย่าง เพียงแค่โชว์ใบอิคิงามิ ก็จะได้รับการยกเว้นทันที และครอบครัวของผู้ตายก็จะได้เงินชดเชยจากรัฐบาลในฐานะผู้ที่สละชีพเพื่อชาติ เพื่อผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ
แต่ถ้าเขาคนนั้นทำสิ่งผิดกฏหมายต่าง ๆ เช่น ฆ่าคนตาย ไปขโมยของ วางเพลิง ข่มขืน ครอบครัวของผู้ตายก็จะไม่ได้รับเงินชดเชยและต้องรับผิดชอบในค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
นี่จึงเป็นที่มาของคำถามหลักของหนังว่า "คุณจะทำอะไร เมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องตายในเวลา 24 ชม."
หนัง (หรือการ์ตูน) เลือกที่จะมองโลกตามความเป็นจริง ไม่ใช่สีชมพู ปฏิกริยาของตัวละครที่ได้รับอิคิงามิจึงมีแตกต่างกัน บางคนเคยเป็นคนเลวก็กลับใจ บางคนก็ระเบิดความโกรธแค้นที่มีในชีวิตออกมา บางคนกลับไปคืนดีกับคนที่ตัวเองบาดหมาง บางคนเลือกที่จะทำอะไรเพื่อผู้อื่น หรือทำเพื่อคนที่เรารัก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนเลยในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เป็นเรื่องจริงที่คนเรามักละเลยเรื่องที่เราตั้งใจจะทำ หรือ เลือกจะที่จะไม่ทำบางสิ่ง เพราะเหตุผลว่าไว้ค่อยทำทีหลัง ทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้อนาคตเลยด้วยซ้ำว่าเราจะมีชีวิตถึงเมื่อไหร่
ถ้าผมจำไม่ผิด ปธน.จอร์จ วอชิงตัน (ถ้าผิดก็ขออภัย) เคยเล่าว่า ตอนเด็ก (หรือเขากับคุณพ่อ) เขาเดินทางข้ามภูเขาในวันที่ฝนตกหนักเพื่อนำไข่ไม่กี่ฟองที่ยืมไปจากเพื่อนบ้านไปคืน เมื่อไปถึง เพื่อนบ้านคนนั้นบอกว่าเอามาคืนพรุ่งนี้ก็ได้ จอร์จ วอชิงตัน(หรือพ่อเขาเนี่ยแหละ) บอกว่าผมต้องคืนวันนี้ เพราะผมไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ผมจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า
หนังดำเนินเรื่องผ่านตัวเอกของเรื่อง ฟูจิโมโตะที่มีหน้าที่นำอิคิงามิไปมอบกับเป้าหมาย 3 รายด้วยกัน และได้มีโอกาสร่วมสังเกตุการณ์และรับรู้ชีวิตของพวกเขา
หนังคัดเลือกเรื่องราวเด่น ๆ จากหนังสือการ์ตูนมาทำเป็นเนื่้อหาสั้น ๆ 3 ตอนในหนึ่งเรื่อง และยังสอดแทรกเรื่องสั้น ๆ ไว้ตอนต้นเรื่องอีกหนึ่งเรื่อง โดยแต่ละตอนจะมีการแสดงออกของตัวละครที่แตกต่างกัน
ตอนสั้นๆ ตอนแรกตัวละครเลือกที่จะแสดงออกอย่างก้าวร้าวโดยการออกไปแก้แค้นเพื่อนที่เคยกลั่นแกล้งเขาในสมัยก่อน
ตอนที่ 1 บทเพลงที่ถูกลืม เป็นเรื่องของมิตรภาพของชายสองคนที่ตามหาความฝันของตัวเองโดยการเป็นนักดนตรีข้างถนน แต่วันหนึ่งเส้นทางชีวิตแยกเข้าออกจากกัน และทิ้งรอยบาดหมางไว้ในชีวิตของเขาทั้งคู่ จนเมื่ออิคิงามิถูกส่งถึงมือ (1 ใน 2 คนนั้น) ทำให้เขาทำบางอย่างเพื่อแสดงถึงมิตรภาพต่อเพื่อนรักในอดีตตอนที่ 2 พ่อแม่ลูกนักการเมือง เป็นเรื่องที่สะท้อนปัญหาสังคมอย่างหนึ่ง คือปัญหาครอบครัว พ่อแม่ไม่มีเวลาสนใจและใส่ใจดูแลลูกของตัวเอง ยึดไว้เพียงอุดมการณ์ที่จะทำเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ทำเพื่อประเทศชาติ แต่ลืมไปว่าทุกสิ่งต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวก่อน ถ้าปกครองครอบครัวตัวเองไม่ได้ จะไปปกครองคนอื่นได้อย่างไร สิ่งที่ตัวละครในเรื่องทำเมื่อได้รับอิคิงามิจึงเป็นการแสดงออกที่ต่อต้านสังคม เพื่อระบายความโกรธแค้นในจิตใจ
ตอนที่ 3 พี่ชายน้องสาว น้องสาวตาบอดจากอุบัติเหตุ พ่อแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เหลือญาติคือพี่ชายเพียงคนเดียว จนเมื่อวันหนึ่งพี่ชายมาบอกว่าได้งานทำเป็นหลักเป็นแหล่งแล้วจะรับน้องสาวมาดูแล ชีวิตดูเหมือนจะไปในทิศทางที่ดี แต่เมื่ออิคิงามิมาถึงมือนั้น ทุกอย่างที่วาดฝันไว้พังทลาย แต่แม้ดูเหมือนสิ้นหวังแต่ฝ่ายหนึ่งกลับวางแผนใช้เหตุการณ์ทำบางอย่างเพื่อส่งต่อความรักที่มีต่อกันฉันท์พี่น้องเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้อีกฝ่ายได้รับสิ่งที่ดีสุดจากตน แม้ว่าตัวเองจะไม่ได้เป็นคนที่ดีอะไร อย่างที่พยายามทำให้เข้าใจตลอดมา
จริง ๆ แล้วเนื้อหาของอิคิงามิเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ไม่ยาก ไม่มีอะไรซับซ้อนหรือหักมุม เพราะเนื้อหาเน้นไปที่การสร้างความรู้สึกกินใจแก่ผู้ชม กับมุ่งเน้นสะท้อนปัญหาสังคมผ่านเรื่องราว
แน่นอนว่าหลายคนที่ดูเรื่องนี้น่าจะชอบตอนที่ 1 , 3 และ 2 มากที่สุดตามลำดับ
โดยตอนแรกนั่นมีเพลงเอกที่ทำให้อารมณ์ของหนังนั้นพาคนดูอย่างเราให้รู้สึกซาบซึ้งระคนสงสาร คือเพลง "ป้ายบอกทาง"
ซึ่งในการ์ตูนตอนนี้ก็เป็นตอนที่คนอ่านส่วนใหญ่ประทับใจ แต่หนังมีดีกว่าตรงที่มีเพลงให้ได้ฟังด้วย และบทเพลงก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ เรียกว่าร้อยคนดู เชื่อว่าต้องร้องไห้ไม่ก็น้ำตาซึมแน่ ๆ
โดยเฉพาะผู้ชายอย่างผมมักไม่ค่อยเสียน้ำตาให้ฉากรักหรือพระเอกตาย นางเอกตายซักเท่าไหร่ แต่มิตรภาพของเพื่อนนั้นกินใจผู้ชายอย่างผมเสมอ....ผู้ชายท่านอื่นเห็นด้วยหรือเปล่า? 555
ตอนนี้ถือว่าค่อนข้างลงตัวที่สุด เพราะเราได้เห็นถึงความรู้สึกของผู้เป็นแม่ด้วย ที่ต้องเฝ้ามองวาระสุดท้ายของลูกตัวเอง โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากให้กำลังใจ และสื่อสารเจตนาของลูกชายไปยังคนที่เขาตั้งใจจะสื่อสาร และมิตรภาพของเพื่อน
อยากจะพูดประโยคนี้จัง แม้จะไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องนี้โดยตรงก็ตาม "เพื่อนคือคนที่เดินเข้ามาหาเราเป็นคนแรก เมื่อคนทั้งโลกจากเราไป"
สำหรับตอนที่ 2 หลายคนคงคิดว่า ไม่มีก็ได้ จริง ๆ แล้วตอนที่ 2 ในการ์ตูนให้อารมณ์หม่นหมองมากกว่า และกดดันกว่า เพื่อสื่อให้เราเห็นผลเสียของการดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดว่าส่งผลกระทบถึงคนอื่นอย่างไร และสุดท้ายแล้ววันหนึ่งมันก็อาจจะย้อนกลับมาหาเราโดยไม่รู้ตัว
แต่เมื่อตอนที่ 2 มาปรากฏอยู่ในเรื่อง จึงเป็นเหมือนตอนขั้นกลางเพื่อเว้นจังหวะ และเสนอมุมมองอีกด้านหนึ่ง เพราะตอน 3 ก็กลับมาซึ้งอีก
แต่ผมเข้าใจว่าผกก.เลือกใส่ตอนที่ 2 เข้ามาเพื่อปูเรื่องไปสู่การสร้างภาคสอง เพราะในตอนท้ายเราจะเห็นว่าตัวละครหนึ่งตัดสินใจจะลงเล่นการเมืองเพื่อแก้ไขกฏหมายนี้ เนื่องจากตัวเองเป็นหนึ่งในผู้รับผลกระทบโดยตรง
อีกอย่างหนึ่งนั้น ในเรื่องเราจะเห็นบุคลิกของพระเอกที่แสดงให้เห็นว่า เขาเป็นคนที่มีความคิดความอ่าน และจากการเข้าไปมีส่วนพัวพันกับการตายของเป้าหมาย ทำให้เขาเกิดความรู้สึกคลางแคลงใจในเหตุผลของการมีอยู่ของ "กฏหมายเพื่อผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ"
พระเอกจึงเป็นตัวแทนของคนที่คิดนอกกรอบ อย่างรอบคอบ (ตอนต้นเรื่องเราเห็นไปแล้วว่าไม่รอบคอบจะเป็นอย่างไร)
นอกจากนั้นเรายังเห็นตัวแทนของผู้บริหารระดับกลาง คือหัวหน้าพระเอกที่แสดงให้เห็นกลาย ๆ ว่าอาจจะมีแนวคิดบางอย่างคล้ายพระเอก แต่เลือกที่จะทำตามระบบของรัฐบาลดีกว่าทำตัวมีปัญหา เป็นตัวแทนของคนดีที่เลือกที่จะปรับตัวยอมรับอำนาจของผู้อำนาจและไม่ขัดขืน เพื่อรักษาสถานภาพทางสังคมของตัวเองไว้ดีกว่า แต่ก็แสดงความห่วงใยพระเอกที่เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ ให้อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม
คิดว่าภาคต่อไปน่าจะมีบทบาทมากขึ้น
ส่วนตอนที่ 3 สำหรับผมเป็นตอนที่ให้ความรู้สึกน่ารักและอบอุ่น การแสดงของนักแสดงทั้งตัวพี่ชายก็ดี น้องสาวก็ดี แสดงได้ดี โดยเฉพาะตัวพี่ชายที่แสดงอารมณ์ทางสีหน้าและคำพูดได้ดีในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งทางอารมณ์ (ภายในเป็นอย่างหนึ่ง แต่ต้องแสดงออกอีกอย่างหนึ่ง)
บทหนังตอนนี้เลือกจะเล่าเรื่องโดยการให้เรื่องราวพาตัวหนังไปถึงจุดไคลแมกซ์เอง ไม่ใส่เพลง หรือบีบคั้นอารมณ์ให้ฟูมฟายแต่อย่างใด เป็นการจบเรื่องแบบประทับใจมากกว่าจะเศร้าเสียใจ
ซึ่งถือได้ว่าน่าพอใจ แต่หลายคนอาจจะคาดหวังให้หนังดึงความรู้สึกของเราอย่างเต็มที่ ซึ่งผมคิดว่าอารมณ์ของหนังตอนนี้แตกต่างจากตอนแรกไปคนละแบบ
เมื่อผมดูจบก็เห็นว่าหนังหรือหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้นั้นมีประเด็นเสียดสีสังคมคล้าย ๆ กันกับ Battle Royal การ์ตูนเรื่องดังที่ได้สร้างเป็นหนังเช่นกัน
เรื่องนั้นก็เสียดสีสังคมและความเป็นมนุษย์เหมือนกัน เพียงแต่มืดมนกว่า และกินใจน้อยกว่า (แต่สะเทือนใจกว่า)
อิคิงามิ จึงเป็นภาพยนตร์ที่ดูจบแล้วบอกต่อได้ไม่อายปาก
และถ้าคุณจะดูอย่างมีความหมาย เมื่อดูจบ ก็ให้ถามตัวเองว่า "คุณทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วหรือยัง"
อย่าลืมรักพ่อรักแม่ให้มาก ๆ ในวันที่เขายังอยู่ (หรือคุณยังอยู่) นะครับ
7.5/10 คะแนน
Free TextEditor
กะลังดูอยู่เลยคับ
ตอบลบประทับใจตอนแรกที่สุด แต่ทุกตอนก็ดีหมดคับ
- ขโง
ครับ ผมก็ชอบตอนแรกสุดเหมือนกัน เพราะมันมีเพลงช่วยเรื่องบรรยากาศด้วยน่ะครับ
ตอบลบหนังดี การ์ตูนดีครับ T^T
ตอบลบดูแล้ว...เรียกน้ำตา
น่าสนใจ
ตอบลบมาก ๆ เลยค่ะ
แค่อ่านก็รู้สึกว่าตัวเองต้องทำตังให้มีคุณค่ามากกว่านี้ค่ะ
ลองหามาดูครับ หนังดีมาก ๆ ครับ
ตอบลบอ่า อาจจะมาคอมเม้นช้าไปหน่อย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องนึงที่ผมชอบในบรรดาภาพยนตร์ญี่ปุ่นหลายๆเรื่อง
ตอบลบที่สำคัญ เพลงป้ายบอกทาง เป็นเพลงที่ผมอยากฟังมันอีกครั้งมาก