ยินดีต้อนรับครับ

ยินดีต้อนรับครับ

ทักทาย

ผมลองจัดระเบียบบล็อกใหม่ดูนะ ครับ

โดยแบ่ง Group Blog ออกตามประเภทของหนังและนิยายนะครับ
เพราะคิดว่าหลายคนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบ ดูหนังทุกประเภท

เช่น บางคนชอบดูหนัง Romantic แต่ไม่ชอบดูหนังสยองขวัญเลย เพราะไม่ชอบ น่ากลัว

บางคนก็ชอบดูหนัง สยองขวัญเป็นชีวิตจิตใจ หนังชีวิตน่าเบื่อมาก ไม่ชอบดู

ผมเลยแบ่ง หมวดหมู่เป็นประเภทของหนัง (แต่ตอนนี้แต่ละหมวดยังน้อยอยู่) เผื่อว่าใครผ่านเข้ามาในบล็อกแล้วอยากจะอ่านรีวิวเก่า ๆ จะได้เลือกได้ตามประเภทของหนังตามที่ชอบได้

ที่แบ่งตั้งแต่ตอนนี้ แม้หนังที่เขียนยังไม่เยอะ เพราะคิดว่าต่อไปเกิดเยอะมาแบ่งที่หลังจะยิ่งเสียเวลาน่ะครับ

บางเรื่องก็แบ่งยากเหมือนกัน มันคาบเกี่ยวกัน แต่ผมจะพยายามยึดอารมณ์ของหนังเป็นหลักน่ะครับ

อ้อ แล้วก็ในบล็อกผมตั้งใจจะขึ้นคำเตือนในทุกบล็อกว่าตรงไหนคุยแบบไม่สปอยล์ ตรงไหนคุยแบบสปอยล์ เวลาใครมาอ่านจะได้อ่านแบบสบายใจได้ไม่ต้องกลัวถูกสปอยล์นะครับ

ถ้าใครแวะมาแล้วไม่รู้จะคอมเมนต์ อะไร ก็ฝากข้อความทิ้งไว้ที่ Shout Box ด้านข้างได้นะครับ


ขอบคุณ ทุกท่านที่แวะเวียนมาอ่านนะครับ ผมก็จะแวะเวียนไปหาท่านด้วยเช่นกัน ตามโอกาสและเวลา

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Prince of Persia : The Sands of Time ถ้ามีทรายแห่งกาลเวลาจริง คงต้องใช้กับเรื่องนี้ก่อนเลย

รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญของเรื่อง

หนัง Action-Adventure ที่สนุกที่สุดและดีที่สุดในชีวิตการดูหนังของผมยังคงเป็น Raiders of the Lost Ark ผลงานของสปีลเบิร์กเรื่องนั้นนั่นแหละครับ

สำหรับ Prince of Persia ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะดียอดเยี่ยมเท่ากับผลงานของสปีลเบิร์กเรื่องนั้น แต่ก็หวังว่าหนังจะตอบโจทย์ความสนุกสนาน ตื่นเต้น ฮา และอารมณ์กุ๊กกิ๊กหยิกกัดของพระเอกนางเอกของเรื่อง ซึ่งเป็นสเน่ห์ของหนังสไตล์นี้

อย่าง Indiana Jones กับ Marion Ravenwood หรือ Richard O'Connell กับ Evelyn Carnahan ใน The Mummy

น่าเสียดายเหมือนกันที่ประสบการณ์การไปดู Prince of Persia เรื่องนี้อาจไม่ถึงกับเสียดายเงิน แต่ก็ไม่รู้สึกเต็มที่ไปกับหนังซักเท่าไหร่ ยิ่งโดยเฉพาะต้องโดดบอลโลกไปดูหนังด้วยแล้ว อาจทำให้ผิดจากที่หวังมานิดหน่อย


เป็นหนึ่งในหนังที่สร้างจากเกมส์อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสำหรับคอเกมส์รุ่นเก่าหน่อย (หรือแม้แต่รุ่นใหม่ ๆ ก็ตาม) คงจะรู้จักเกมส์นี้เป็นอย่างดี เพราะในยุคเกมส์รุ่นเดียวกันแล้ว Prince of Persia เป็นเกมส์ที่มีจุดเด่นกว่าเกมส์อื่นก็ตรงรายละเอียดการเคลื่อนไหวของร่างกายตัวละครเนี่ยแหละ

เพราะขณะที่เกมส์ในยุคนั้นมีแค่เดิน วิ่ง กระโดด แต่ Prince of Persia มีทั้งเดิน วิ่ง กระโดด หมอบ เกาะขอบเหว กำแพง ปีนป่าย ซึ่งเป็นจุดเด่นให้เกมส์ยืนอายุมาถึงทุกวันนี้ได้

แปลกใจกว่าจะได้ขึ้นจอ ทำไมใช้เวลานานจัง จน Tomb Raider มาทีหลัง ยังมาแล้ว (2 ภาค) และก็ไปแล้ว



หนังเป็นผลงานกำกับของ Mike Newell และอำนวยการสร้างโดย Jerry Bruckheimer สองชื่อนี้ช่วยเรียกคนได้ในขั้นแรก หลังจากนั้นก็ว่ากันที่พลังของตัวหนังเองล้วน ๆ แล้วแต่ใครจะชอบ

เรื่องราวของเจ้าชายแห่งอาณาจักรเปอร์เซีย ที่ไม่ได้ได้มาโดยสายเลือดแต่กำเนิด แต่มาจากการแสดงความกล้าหาญให้ประจักษ์ (โดยบังเอิญ) ต่อหน้ากษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ทำให้ Dastan (Jake Gyllenhaal) ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าได้รับการอุปการะในฐานะโอรสคนหนึ่งของกษัตริย์ และได้เป็นหนึ่งในเจ้าชายแห่งเปอร์เซีย โดยนอกจากเขาแล้วยังมีบุตรแท้ ๆ อีก 2 คนคือ Tus และ Garsiv

และยังพ่วงด้วยนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง Ben Kingsley ที่มารับบท Nizam ลุงเทียมของแดสตัน

จากการตัดสินใจโดยพละการของ Tus กองทัพเปอร์เซียจึงได้บุกเมืองต้องห้ามและทำให้พระเอกได้ตกกระไดพลอยโจนมาจับคู่กับนางเอกของเรื่อง เจ้าหญิง Tamina (Gemma Arterton) จากเหตุการณ์พลิกผันที่ Dastanไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน

Dastan และ Tamina ต้องร่วมกันปกป้องกริชวิเศษที่มีพลังในการปลดปล่อย "ทรายแห่งกาลเวลา" (ตามชื่อเรื่องนั่นแหละ) เครื่องมือของเทพเจ้าที่ทำให้ผู้ที่ครอบครองมีอำนาจในการควบคุมเวลาได้

แล้วยังไงล่ะ...ก็แน่นอนพระเอกนางเอกก็ต้องมีหน้าที่ปกป้องโลกนี้ให้พ้นจากเงื้อมมือของผู้ร้ายของเรื่อง



สิ่งที่เป็นจุดด้อยของหนังเรื่องนี้คือ

1. ความกล้าหาญของพระเอกมันหน่อมแน้มไปหน่อย เกินกว่าจะคิดได้ว่ากษัตริย์จะรับเขามาเป็นโอรสคนหนึ่งได้ และแม้ว่าโตขึ้นหนังจะบอกว่า Dastan เป็นคนที่กล้าหาญ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นอย่างหนักแน่นซักเท่าไหร่


2. ตัวร้าย ดูออกง่ายไปหน่อย ถ้าหนังไม่เล่นประเด็นสร้างความไขว้เขวแล้วหันไปชกแบบหมัดตรงแทนเลยน่าจะดีกว่า เพราะพอเล่นสร้างประเด็น แล้วพอเฉลยออกมาก็ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นอยู่แล้ว เหมือนรู้ ๆ กันว่ายังไงก็ต้องมาประมาณนี้

3. หนังมาในสไตล์ของดิสนีย์มากเกินไป ปลอดภัยไว้ก่อน (Play safe) บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น รักษาน้ำใจของคนดู ถ้าจะมีใครต้องตาย ก็กลัวจะบอบช้ำเกินไป ทำให้บทสรุปของหนังไม่สร้างความทรงจำซักเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่หนังพาเรื่องราวมาไกลแล้ว

4. วินาทีที่เห็น Gemma Arterton ปรากฏตัวในมาดเจ้าหญิงผู้มีความหยิ่งทรนงและความมั่นใจในตัวเอง ผมนึกว่าอาจจะได้เห็นแคแรกเตอร์แบบ รพินทร์ ไพรวัลย์ กับ คุณหญิงหมอดาริน วราฤทธิ์ บนจอซะแล้ว

ช่วงแรกหนังทำให้มีความหวัง Gemma รับบทได้สมกับมาดของเจ้าหญิงผู้แบกรับหน้าที่สำคัญไว้ และก็ร้ายได้น่ารักน่าชัง แต่หลังจากนั้นสเน่ห์ของเธอก็ค่อย ๆ ลดระดับลงไปตามกาลเวลา

รวมทั้งการรับส่งบทของพระเอกและนางเอก ที่น่าจะสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้มากกว่านี้ แต่กลับทำได้แกน ๆ ไม่สุด ไม่ถึง ไม่โดน ซึ่งเป็นส่วนที่น่าเสียดายที่สุดของหนังเลย



5. ฉากแอคชั่นที่ผู้สร้างบอกว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปะการป้องกันตัว (เรียกอย่างนี้ได้ไหมหว่า) Parkour (หาดูได้จาก Youtube...เยอะมาก) นั้นก็ไม่ได้สร้างภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจและหวือหวาได้อย่างที่โฆษณาเอาไว้ จนไม่สามารถทำให้เรารู้สึกได้ว่านี่คือสิ่งใหม่ ไม่เคยขึ้นจอมาก่อน พูดง่าย ๆ ว่าธรรมดาไปหน่อย


ส่วนฉากต่อสู้แนวฟันดาบถือว่าเอาตัวรอดได้ในระดับที่ไม่ได้สร้างปรากฏการณ์แต่อย่างใด



ส่วนที่เป็นข้อดีของหนังคงหนีไม่พ้นงานโปรดักชั่นและเทคนิคการสร้าง ภาพมองจากที่สูงมุมกว้างให้ความรู้สึกได้สมจริง การถ่ายภาพทะเลทรายก็ได้ภาพที่สวยงาม

การแสดงของ Jake ในเรื่องนี้ได้แค่ผ่าน แต่ยังไม่สามารถทำให้ตัวละครตัวนี้มีลูกเล่นที่แพรวพราว ทั้งทักษะการต่อสู้และบุคคลิกที่แสดงออกมานั้น คงทำให้ตัวละครตัวนี้อยู่ในความทรงจำได้แค่ชั่วระยะหนึ่ง


สิ่งที่เป็นข้อดีของ Jake ถ้าจะมีใครที่รูปร่างหน้าตาเหมาะกับบทเจ้าชายเปอร์เซียมากที่สุดแล้วก็คงเขานี่แหละ (แต่ก็ไม่แน่ ถ้าเป็น Orlando Bloom อาจจะสู้ได้ก็ได้)

Gemma Arterton ได้รับบทเด่นในหนังแอคชั่นปีนี้ถึง 2 เรื่อง เห็นได้ชัดว่าสำหรับเรื่องนี้เธอทำได้ดีกว่า ซึ่งจริง ๆ แล้วเธอรับบทนี้ได้มีสเน่ห์ดี แต่ปัญหาคือบทภาพยนตร์ไม่ได้ส่งให้ตัวละครตัวนี้ไปถึงจุดสูงสุดได้ในระหว่างการดำเนินเรื่องราว

Ben Kingsley ในช่วงขาลงของชีวิต กับบทบาทในเรื่องนี้ ไม่ได้มีอะไรย่ำแย่ แต่ก็เช่นเดียวกันที่ไม่ได้เป็นบทที่มีอะไรให้จดจำซักเท่าไหร่


ในช่วงเวลาที่หนังแนวนี้หลังจากหมดเรื่อง The Mummy ไปแล้ว (อย่าไปนับ Tomb of the Dragon Emperorนะ) ก็ไม่มีหนังดี ๆ แนวนี้ออกมาเลย Prince of Persia ถือว่าคั่นเวลาได้อย่างเคอะเขิน หนังให้ความสนุกได้ในระดับหนึ่ง และอาจจะถูกใจคอหนังหลายคนที่ไม่มีหนังแนวนี้ให้ได้ดูเยอะนักในช่วงหลัง ๆ

แต่กับโปรเจกต์ทุนยักษ์ 200 ล้าน และเครดิตผู้สร้างอย่างนั้นแล้ว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนดูหนังส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเรื่องนี้ทำออกมายังไม่สมราคา

เป็นหนังประเภท "ดูจบแล้ว ก็แล้วกัน"

จากความหวังว่าจะเป็นหนังภาคต่อคุณภาพเรื่องใหม่ของดิสนีย์ แต่เมื่อเหลือบมองไปที่ boxoffice แล้วคงต้องบอกว่าหมดหวัง (สำหรับผู้สร้างคงผิดหวัง)

จริง ๆ แล้วถ้าเรื่องนี้ไม่ได้ฉายในช่วงซัมเมอร์ซึ่งเป็นฤดูฉายของหนังฟอร์มยักษ์ที่ทุกเรื่องมาพร้อมความคาดหวังจากคนดู โดยเฉพาะถ้าเป็นหนังแอคชั่นด้วยแล้ว ต้องมันส์สุด ๆ แล้วไปฉายในช่วงเวลาอื่นแทน

หนังเรื่องนี้ก็ยังถือว่ามีคุณภาพในระดับ 100 ล้านได้ไม่ยาก แต่จะให้เกิน 200 ล้าน อาจจะหืดจับสุด ๆ

นิยามของ Prince of Persia : The Sands of Time นั้นจึงออกมาว่าเป็นหนังที่ "ธรรมดาเกินไป" ดูก็ได้ไม่เสียดายเงิน พลาดไปรอแผ่นก็ไม่ได้เสียดาย

เสียดายก็แต่เจ้าหญิง Tamina เนี่ยแหละ คงต้องรออีกซัก 10 ปี จนลืม ๆ กันไปแล้ว ค่อยนำมาสร้างใหม่อีก


ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แล้ว Mike Newell แก้ไขไอ้โน่นนิดไอ้นี่หน่อย เกลาบทซักนิด หนังอาจออกมาเกินธรรมดาได้สมกับเรื่องมหัศจรรย์ในหนังแล้ว และรายได้คงไม่ออกมาแป้กแบบนี้

บางทีฮอลลีวู้ดก็อยากจะหวังพึ่งปาฏิหารย์ของ "ทรายแห่งกาลเวลา" บ้างเหมือนกัน

ผมให้คะแนนเรื่องนี้ 6.5/10 ครับ

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Who are you....ใคร....ในห้อง ไม่รู้สนุกกว่ารู้นะ


ส่วนแรกจะเป็นรีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญของเรื่องนะครับ สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูเรื่องนี่้
แล้วเดี๋ยวส่วนหลังจะเป็นการคุยแบบสปอยล์ละเอียดยิบ ถ้าดูแล้วก็มาคุยกัน

นับแต่ยุคที่ Sixth Sense สร้างปรากฏการณ์หนังหักมุม หลอกคนดู และหนังทำรายได้ถล่มทลาย ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่คนดูกลับเข้าไปดูหนังกันใหม่เพื่อจะเก็บรายละเอียดที่มองข้ามไป ซึ่งสำหรับ Sixth Sense นั้นหนังทำออกมาได้ดีเยี่ยมทั้งในด้านเนื้อหา บรรยากาศ การแสดง และทั้งในอารมณ์ของดราม่า และสยองขวัญ และก็หักมุมได้เนียนตา

ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นเรื่องท้าทายของผู้สร้างหนัง ทั้งโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ หรือผู้เขียนบท ที่พยายามหาเนื้อหา เรื่องราว หรือวิธีการเล่าเรื่อง ที่จะทำให้หนังออกมาหักมุมได้สาแก่ใจคอหนังประเภทนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหนังอารมรมณ์ Thriller , Suspense หรือ Horror



Who are you ใคร...ในห้อง เป็นโปรเจกต์ความพยายามเรื่องล่าสุด ที่มีหน้าหนังที่น่าสนใจ และดึงดูดคอหนังประเภทนี้อย่างมาก

อาการแยกตัวออกจากสังคม ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เล่นเกมส์ ดูหนัง ไม่สังสรรค์กับใคร หรือที่เรียกว่า "ฮิคิโคโมริ" ถ้าเอามาขยายความแล้วสร้างเป็นหนังลึกลับ คงไม่มีอะไรน่าสนใจเท่านี้อีกแล้ว

และคำถามว่า "แน่ใจหรือว่าหลังประตูยังคือคนที่คุณคิด?" ที่ใช้เป็นคำโปรยบนโปสเตอร์ ยิ่งทำให้หนังมีบรรยากาศที่น่าสงสัย

แต่น่าเสียดายที่ส่วนที่ยากที่สุดของหนังประเภทนี้คือ การคิดตอนจบให้หักมุม หรือหักหลังคนดู แล้วทำให้คนดูอุทานออกมาได้ว่า "เฮ้ย....สุดยอดดดดด" ไม่ใช่ "เฮ้ย...อะไรว่ะ เล่นยังงี้เลยเหรอ" คือให้อารมณ์ ทึ่ง ไม่ใช่ เหวอ

แล้วยังกองทัพหนังหักมุมที่ทยอยออกกันมาทั่วทั้งโลกนั้น ยังเป็นภาระหนักแก่คนเขียนบทที่ต้องสรรหาตอนจบให้สร้างสรรค์ ไม่ซ้ำซากกับหนังเรื่องอื่น...ซึ่งมันจะเหลืออีกซักเท่าไหร่เชียว

ข่าวดีคือหนังเรื่องนี้หามุกใหม่มาเล่นได้ ข่าวร้ายคือ เหวอ

Who are you ใคร...ในห้อง กำกับโดยผู้กำกับภาคภูมิ วงษ์จินดา ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานเดียวกับเรื่องฟอมาลีแมน , รับน้องสยองขวัญ และ วิดีโอคลิป ซึ่งเห็นได้อย่างหนึ่งว่า คุณภาคภูมิมักหยิบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมมาสร้างเป็นหนัง เช่น การรับน้อง และวิดีโอคลิป เป็นต้น

หนังเล่าเรื่องของนิดา (สินจัย เปล่งพานิช) แม่ค้าขายหนังโป๊ ที่อาศัยอยู่กับลูกชายชื่อ ต้น แม้เธอจะอยู่กันเพียงแค่สองคนแม่ลูก แต่เธอกลับไม่ได้เจอหน้าของลูกชายมานานแล้ว เพราะต้น มีอาการของ "ฮิคิโคโมริ" เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เล่นแต่เกมส์ ไม่ออกมาข้างนอกนานถึง 5 ปีแล้ว

การติดต่อสื่อสารกันระหว่างผู้เป็นแม่กับลูกชายนั้น มีเพียงแค่กระดาษที่สอดผ่านใต้ประตูเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอแน่ใจว่าลูกของเธอยังมีชีวิตอยู่



แต่เมื่อโดม (สตาร์บัคส์-พงศ์พิชญ์ ปรีชาบริสุทธิ์กุล) ครีเอทีฟรายการหนุ่ม ที่เป็นลูกค้าขาประจำของนิดา เริ่มสนใจในเรื่องนี้ และคิดว่าจะเอาเรื่องของต้นไปทำเป็นสกู๊ปรายการ ทำให้เิกิดเรื่องที่คาดคิดขึ้น

ป่าน (ตาล กัญญา รัตนเพชร์) หญิงสาวที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเพราะป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ขั้นรุนแรง ซึ่งอาศัยอยู่บ้านตรงข้าม ได้เห็นความเป็นไปของห้องต้นผ่านหน้าต่างห้องของตัวเอง




ความสงสัยของโดม และการเข้ามาพัวพันโดยบังเอิญของป่าน นอกจากนั้นยังมีโอ๊ต มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่มีงานอดิเรกคือการย่องเบาบ้านคนละแวกนั้น ทำให้เรื่องราวขมวดปมจนพาไปถึงบทสรุปของคำถามเดียวกับชื่อหนังคือ ใคร (กันแน่ที่อยู่) ในห้อง

หนังมีองค์ประกอบที่ดีในการสร้างเรื่องราวชวนสงสัยและได้นักแสดงมีฝีมืออย่างคุณสินจัยมาร่วมแสดง อีกทั้งนักแสดงหน้าใหม่อย่างสตาร์บัคส์ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี

แต่น่าเสียดายที่การกำกับการแสดง ทำให้คุณสินจัยแสดงในหนังเรื่องนี้บางตอนออกมามากเกินไป แสดงอารมณ์มากเกินไปหน่อย หรือที่เรียกว่าโอเวอร์แอคติ้ง

ฉากบางฉากหนังต้องการจะทำให้คุณสินจัยแสดงออกมาให้น่าสงสัยว่าใครกันแน่ที่อยู่ในห้อง ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้ มันทำให้หนังลดความมีระดับลง



ส่วนคุณสตาร์บัคส์ก็น่าเสียดายที่หนังให้เขามีบทน้อยไปหน่อย ทั้ง ๆ ที่ถ้าให้เขาอยู่บนจอนานกว่านี้ หนังจะสนุกมากขึ้น ถ้าให้เขาเป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก ที่ทำให้เรื่องราวขมวดปมไปจนถึงตอนเฉลยตอนสุดท้าย เรื่องคงจะมีความหลากหลายมากกว่านี้

และผมคิดว่าการแสดงในบทสำคัญของเรื่องเป็นเรื่องแรกของเขานั้น ทำได้ดีทีเดียว แสดงได้มีสีสันและเป็นธรรมชาติในแบบของเขา อารมณ์เหมือนดูคุณเรย์แสดงเป็นตัวของเขาเองในหนังที่เขาเล่นนั่นแหละ

น่าจะแจ้งเกิดจากเรื่องนี้ได้ไม่ยาก



ส่วนคุณตาลนั้น นอกจากการแสดงอาการคนเป็นโรคภูมิแพ้ที่ไม่สมจริงแล้วนั้นที่เหลือก็ไม่มีอะไรเลวร้ายแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังมีพลังมากขึ้นแต่อย่างใด

สำหรับในส่วนของหนังตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงท้ายเรื่องก่อนเฉลยนั้นหนังทำบรรยากาศออกมาได้ดี จะเห็นได้ว่าผู้กำกับมีพัฒนาการในการกำกับจังหวะของหนังมากขึ้น ไม่เชื่อลองเอาสองเรื่องก่อนหน้านั้นของผู้กำกับมาเปิดดูควบไปด้วยซิ

หนังยังมีจุดที่ละเลยความน่าเชื่อถือไป อย่างตอนเรื่องราวของโดม และตอนท้ายที่ตัวละครหนึ่งที่อยู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีที่มาว่า ทำไมอยู่ ๆ ถึงโผล่มา



และมีตัวละครที่ใส่เข้ามาในเรื่องแล้วไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์อย่างโปรดิวเซอร์ของโดมนั้น ก็น่าเสียดายที่น่าจะนำมาใช้สร้างเรื่องราวและมีส่วนร่วมในหนังได้มากกว่านี้

ฉากแฟลชแบ็คของเรื่องราวของต้น ก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ และยังทำให้คนดูไขว้เขวอย่างไม่เกิดประโยชน์กับตัวหนังแต่อย่างใด

แต่ข้อเสียใหญ่สุดของหนังก็คือตอนจบนี่แหละ ที่ทำให้คนดูส่วนใหญ่รับไม่ได้ นอกจากนั้นแล้วจังหวะในการจบยังดูกระโดดอยู่ ไม่ราบรื่นและทวีความตื่นเต้นได้มากพอ

ให้ลองดูตัวอย่างจากเรื่อง The Other และเรื่อง The Tale of Two Sisters หรือตู้ซ่อนผี เป็นตัวอย่างที่ดีได้ ทั้งสองเรื่องตอนก่อนที่จะเฉลย เราได้ดูและรู้แล้วว่าหนังมีความน่าสงสัยตลอดทั้งเรื่อง และเราจะได้รู้อะไรบางอย่างในตอนจบ แล้วพอตอนจบมาถึง จังหวะการเฉลยและการเร่งบรรยากาศไคลแมกซ์ทำให้เราตื่นเต้นและมีอารมณ์ร่วมได้ดี


ตรงนี้สปอยล์ละเอียดยิบ ใครยังไม่ได้ดูอย่าเพิ่งอ่านนะครับ





เห็นหลายคนดูหนังเรื่องนี้แล้วงง บางคนตีความไปได้แตกต่างกัน บ้างก็ว่าเป็นผี บ้างก็ว่าเป็นโรคจิต บ้างก็ว่าจินตนาการไปเอง

อันนี้ตามที่ผมเข้าใจ (ไม่ขอฟันธงว่าความคิดผมถูกหรือไม่นะครับ)

ต้องเข้าใจก่อนว่าหนังเรื่องนี้ เข้าใจว่าผู้กำกับมีเจตนาว่าจะฉีกตอนจบให้ไม่ซ้ำกับเรื่องอื่น

ที่ผ่านมาก็มักจะมีจบแบบบอกว่าเป็นผี หรือคิดไปเอง หรือเป็นโรคจิตเภท เรื่องนี้เหมือนจะพยายามคิดให้ฉีกนอกกรอบของเรื่องเดิม ๆ โดยดึงเอาเรื่องพลังแห่งความเชื่อ ความเชื่อที่ไม่มีข้อสงสัย ความเชื่อที่มาจากจิตของเรา จนสามารถทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้

หนังเริ่มเล่าเรื่องโดยดึงเอาเหตุการณ์ที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ชื่อโอ๊ตปีนข้ามไปแอบดูห้องต้นแล้วตกลงมาในบ้านของอาเจ๊กที่อยู่ข้าง ๆ แล้วโดนอาเจ๊กยิงตกลงมาบนรถยนต์หน้าบ้าน ซึ่งขณะนั้นเป็นตอนที่ป่านกำลังจะฆ่าตัวตาย ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่รู้เหตุผลว่าทำไม เสร็จแล้วหนังค่อยเล่าย้อนกลับไปต้นเรื่องใหม่อีกที

ซึ่งเป็นวิธีการเล่าเรื่องของหนังแบบหนึ่งที่ใช้วิธีดึงความสนใจคนดูตั้งแต่ต้นเรื่อง โดนเอาเหตุการณ์น่าสงสัยและตื่นเต้นบางตอนของหนัง ตัดมาเล่าตอนต้นเรื่องก่อน แล้วค่อยไปเล่าแบบเรียงลำดับเหตุการณ์ใหม่อีกที แล้วค่อยไปเฉลยรายละเอียดที่มาที่ไป

ล่าสุดที่เพิ่งดูมา Iris ก็เล่าเรื่องแบบนี้เหมือนกัน หรือยกตัวอย่างบางเรื่อง เช่น Mission Impossible 3 ก็เล่าเรื่องแบบนี้

ตรงนี้คนที่ไม่คุ้นเคยวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้อาจจะงงได้ ซึ่งถ้าได้ไปดูหนังอย่าง 21 grams หรือ Lost หรือ Memento ที่มีวิธีการเล่าเรื่องแบบไม่ตรงไปตรงมา อาจจะยิ่งงงมากกว่านี้

ต่อมาเรื่องก็เริ่มต้นเล่าตั้งแต่ นิดา แม่ค้าขายแผ่นหนังโป๊ มีลูกค้าขาประจำคือ โดม ที่เป็นครีเอทีฟรายการทีวี ได้แวะมาเที่ยวที่บ้านแล้วรู้เรื่องว่าลูกชายของนิดาหรือต้นนั้นไม่ได้ออกจากห้องมาเป็นเวลานานถึง 5 ปี ก็เกิดสงสัย แล้วไปศึกษาเพิ่มเติม พบว่าอาการประเภทนี้ที่ญี่ปุ่นมีเยอะ เรียกว่า "ฮิคิโคโมริ" เลยได้เป็นไอเดียเสนอหัวหน้า แล้วหัวหน้าก็บอกว่า ให้เอาเด็กนั่นออกมาจากห้องให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน



โดมเลยมาเสนอนิดาให้เอาต้นไปออกรายการ แต่ต้องให้ต้นคุยกับเขาก่อน ตรงนี้เอง ภายในความรู้สึกของนิดานั้นอยากจะให้ต้นออกมาจากห้องนานแล้ว แต่ต้นไม่ยอม พอโดมมาเสนอ นิดาก็เลยเอาด้วย แต่ปรากฏว่าเรื่องเลวร้าย คือต้นไม่ยอกออกแล้วดันตัดนิ้วตัวเองส่งออกมาให้แทน แล้วบอกว่าอย่ามาเสือกเรื่องของเขา นิดาเลยโมโหโดม พัลวันกันไปมา เลยพลาดตกบันไดไป ตอนนั้นเองต้นก็ออกจากห้องมาฆ่าโดมตาย นิดาก็หมดสติไป

โดมถูกฆ่าตาย แล้วก็ถูกตัดออกจากเรื่องไปเลย ทำให้หนังหลังจากนั้นขาดตัวเดินเรื่องที่ช่วยสร้างสีสัน เพราะหนังหันไปเล่นกับตัวละครของป่านแทน ซึ่งจริง ๆ แล้วตัวละครป่านเหมาะเป็นองค์ประกอบเสริมความสงสัยของเรื่องมากกว่าจะเป็นตัวหลัก

ในคืนเดียวกันกับที่โดมตาย มีขโมยปีนเข้าบ้านอาแปะที่อยู่ข้างบ้านนิดา พอวันรุ่งขึ้นตำรวจก็มาสืบสวนที่บ้านอาแปะ หนังทำให้รู้ว่าบ้านแถวนั้นมีหลังคาฝ้าติดกัน ปีนข้ามกันได้ แล้วตกเย็นตำรวจก็มาสอบถามที่บ้านนิดา แล้วได้ถามว่าตอนนี้สามีของนิดาอยู่ไหน นิดาบอกว่าตายไปแล้ว สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ป่านอยู่บ้านตรงข้าม ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ แม่เธอไม่ค่อยมีเวลาให้เธอเท่าไหร่ และเธอยังเห็นว่าแม่มีคนมาชอบพอและติดพัน เธอยังกลัวว่าจะต้องเรียกเขาว่าพ่อ

ป่านแอบเห็นห้องต้นที่ปิดหน้าต่างมืดทึบ มีเงาคนเดินไปมา ซึ่งหนังพยายามจะบอกว่ามีอะไรอยู่ในห้องจริง ๆ

หนังเปิดเผยให้เห็นว่านิดาไปเข้าร่วมกลุ่มสัมมนาที่ใช้ชื่อหัวข้อว่า"Who are you" ของสมาคมจีรัง ยั่งยืน และตอนหนึ่งในนั้นอาจารย์สุนีย์ เจ้าของสมาคมนี้ได้บรรยายถึงพลังแห่งความเชื่อ ว่าถ้าเราสามารถดึงเอามาใช้ได้ ถ้าเราอยากได้อะไร หายป่วย อายุยืนเป็นร้อยปี เราก็สามารถทำได้ทั้งนั้น
ตรงนี้เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่หนังใส่ไว้เพื่อจะเฉลยเรื่องในตอนจบ

นอกจากนั้นอาจารย์สุนีย์ยังพูดว่าเราต้องคิดเชิงบวก หากเราคิดด้านลบเมื่อไหร่ พลังความชั่วร้ายจะมาสู่ตัวเรา

แล้วก็ยกตัวอย่างแคทเธอรีน เซ็น ที่เป็นกระเทยแปลงเพศ ที่ถูกสะกดจิตให้เป็นคิดว่าเป็นผู้หญิง ซึ่งนั่นทำให้เธอใช้ชีวิตเหมือนผู้หญิงจริง ๆ เพราะเธอเชื่ออย่างนั้น มีประจำเดือน แต่งงานมีสามี แล้วก็มีลูก แม้จะไม่มีมดลูกจริง ๆ แต่พอเธอรู้ความจริง เธอก็รับไม่ได้ จนฆ่าตัวตาย หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง ลูกเธอก็สลายกลายเป็นฝุ่น

จำเรื่องตรงนี้ไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวค่อยพูดตอนท้ายอีกที

ต่อมานิดาเจอกับแม่ของป่าน และได้รู้ว่าป่านป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ขั้นรุนแรง รักษายังไงก็ไม่หาย เลยเอาใบปลิวเรื่องสมาคมจีรัง ยั่งยืนให้ และชวนให้ลองดู แม่ป่านไม่สนใจ แต่ป่านเหมือนจะสนใจ

ตรงนี้หนังทำให้เราเห็นสิ่งที่ขัดกันคือ แม่ป่านบอกว่ารักลูก พยายามทำทุกวิถีทางให้ลูกหายป่วย พาไปรักษาทุก ๆ ที่ที่มีความหวังว่าจะทำให้ลูกหาย แต่ตัวเธอก็กลับไม่มีเวลาให้ลูก ออกจากบ้านไปตอนเย็น ๆ โดยอ้างว่ามีนัดกับลูกค้า

ก่อนหน้านี้ก็มีฉากที่เธอคุยโทรศัพท์บนรถตอนที่จะพาป่านไปหาหมอฝังเข็ม ว่ามีคนโทรมาหาแล้วเธอบอกว่าวันนี้คงไปไม่ได้แล้ว เพราะจะพาลูกไปหาหมอ เอาไว้เจอกันวันหลัง ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นผู้ชายที่มาติดพันชอบพอกับเธอ ที่ตอนต้น ๆ เรื่องเราเห็นขับรถมาส่งที่บ้าน

ตรงนี้มีเหตุผลที่หนังจะเฉลยในตอนเกือบท้าย ๆ



ต่อมาหนังทำให้เห็นในเหตุการณ์แฟลชแบ็คว่านิดามีปัญหากับสามี แอบพบว่าสามีนอกใจ ส่วนสามีก็โมโหหาว่านิดาโรคจิตและทำร้ายนิดาแล้วก็กำลังจะไป โดยบอกว่าจะเอาต้นไปเลี้ยงเอง แต่นิดาไม่ยอม เอาปืนยกมาขู่ บอกว่าต้นต้องอยู่กับเธอ ตลอดเหตุการณ์นี้ต้นที่อยู่ในห้องก็แอบมองผ่านช่องไม้จากชั้นบน และได้ยินตลอดเวลา หนังตัดกลับมาให้เห็นว่านิดาร้องไห้เสียใจ

หนังทำให้เราสงสัยว่านิดาอาจจะยิงสามีตายในตอนนั้น

ที่กลุ่มวินมอเตอร์ไซค์ เราเห็นว่าโอ๊ตหนึ่งในวินมอเตอรไซค์เป็นคนที่ปีนเข้าไปขโมยของในบ้านอาแปะมาจ่ายค่าพนันบอล และมีประเด็นที่เม้าท์กันเรื่องที่ต้นไม่ออกจากห้องมาหลายปีแล้ว หนึ่งในนั้นก็ถามโอ๊ตว่ารู้บ้างหรือเปล่า เหมือนประมาณว่าโอ๊ตเคยเป็นเพื่อนต้นมาก่อน โอ๊ตบอกว่ามีคนลือกันว่าต้นออกจากบ้านช่วงกลางคืน

แล้วเขาก็รับอาสาจะสืบเรื่องนี้ให้



มาที่ฝ่ายป่านซึ่งงอนแม่ที่แม่ไม่มีเวลาให้ เอาแต่ไปเที่ยวกับแฟนใหม่ แล้วเธอก็ไปค้นในลิ้นชักแม่แล้วเจอหนังสือเลิกจ้างงานโดยบังเอิญ ทำให้เธอรู้ว่าแม่ไม่มีงานทำมานานแล้ว

ทำให้เธอรู้ว่าที่จริงแล้วที่ผ่านมาแม่ไม่ได้มีเงินแต่ยอมไปมีอะไรกับผู้ชายอื่น ๆ เพื่อนำเงินมาให้เธอรักษาตัว ซึ่งอันนี้เป็นการตีความของผมเอง จากที่เห็นว่าแม่ป่านแสดงออกว่าเป็นห่วงและรักลูก แต่ก็โกหกป่านว่าจะออกไปคุยกับลูกค้าตอนหกโมงเย็น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำงานแล้ว และการที่ต้องพาป่านไปรักษาที่นั่นที่นี่ก็มีค่าใช้จ่ายมาก ทำให้ผมเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วแม่ป่านได้เงินจากการยอมมีความสัมพันธ์กับเศรษฐีเพื่อนำเงินมารักษาป่าน

นั่นทำให้ป่านรับไม่ได้ เลยตัดสินใจฆ่าตัวตาย

เหตุการณ์มาบรรจบกันกับตอนต้นเรื่อง ขณะที่ป่านจะฆ่าตัวตายก็เป็นตอนที่โอ๊ตปีนข้ามหลังคาบ้านเข้าไปสืบที่ห้องต้น แล้วถ่ายรูปติดลูกตาของต้นมา เขาตกใจจึงถอยหนี มาเจอกับศพของโดมที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าและพลาสติกซ่อนไว้บนเพดานฝ้า ที่ผมรู้ว่าเป็นศพโดม เพราะตรงคางมีเคราอยู่ด้วย

แล้วโอ๊ตก็ตกใจพลัดตกลงมาในบ้านอาแปะ ซึ่งในขณะนั้นอาแปะนั่งถือปืนคอยดักรออยู่ เนื่องจากไม่ไว้ใจว่าจะมีใครปีนเข้ามาขโมยของอีกหรือเปล่า เลยขึ้นมายิงโดนโอ๊ตตกลงมาบนรถหน้าบ้าน

เหตุการณ์สัมพันธ์กับตอนต้นเรื่อง

ส่วนป่านที่หนังทำให้เห็นว่าเธอรักแมวตั้งแต่เด็ก ๆ เห็นแมวเดินหลงทางเข้าไปในบ้านต้น จึงออกไปตามหาแมว เป็นเวลาเดียวกับที่นิดารู้สึกไม่สบายใจและกลับมาบ้าน

อยู่ ๆ สามีนิดาก็กลับมาบ้าน ทำให้รู้ว่าเขายังไม่ตายแล้วสามีก็บอกว่าต้นตายไปแล้ว เขาอยากให้นิดายอมรับความจริงว่าต้นไม่ได้อยู่ในห้อง แล้วหนังก็เผยให้เราเห็นในห้องว่าจริง ๆ แล้วมีอะไรอยู่จริง ๆ

เป็นซากศพรูปร่างคล้ายกอลลั่มแห่งลอร์ดออฟเดอะริง แต่ในสายตาของนิดาเธอเห็นเป็นรูปร่างต้น

หนังบอกเราว่า การที่นิดามีความเชื่ออย่างไม่สงสัยว่าต้นยังไม่ตาย ทำให้เธอสร้างต้นขึ้นมาด้วยความเชื่อของเธอ เหมือนที่แคเธอรีนเคยเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้หญิงทำให้เธอมีลูกได้จริง ๆ ความเชื่อที่ไม่สงสัย จากจิตของเรา ทำให้อะไรก็เกิดขึ้นได้


ต้องบอกว่า เราต้องแยกระหว่างพลังจิต กับความเชื่อนะครับ อันนี้ต่างกัน นิดาไม่ได้ใช้พลังจิตสร้างอะไรขึ้นมา แต่เธอใช้ความเชื่อ ที่เธอเชื่อจริง ๆ เชื่อจากจิตใต้สำนึก เหมือนที่เธอเชื่อว่ากระดาษเป็นมีด ต่างกันนิดหน่อยนะครับ จำไว้่ว่าเธอไม่ได้มีพลังจิต

แล้วเธอก็ฆ่าสามีตัวเองตาย แต่ตอนที่ต่อสู้กันเธอพลัดตกบันได้ลงไป ส่วนป่านที่แอบหลบอยู่ในห้อง ก็ออกมาเห็นกอลลั่ม จึงตกใจ หนีเข้าห้องแล้วปีนขึ้นฝ้าเพดานไป อันนี้ไม่น่าเชื่อที่ผู้หญิงจะปีนขึ้นฝ้าเพดานได้ด้วยตัวเอง

กอลลั่มไล่ฆ่าเธอโดยเอาไม้แหลมไล่แทงฝ้าให้พังลงมา แล้วป่านก็พลัดตกลงมา โดยฝ้าเพดานหล่นลงมาเสียบอกของนิดาด้วย แล้วหนังก็ทำให้เห็นว่ากอลลั่มพยายามแทงป่าน ก่อนที่จะสลายกลายเป็นผงไป แล้วนิดาก็หลับตาลง เหมือนว่าจะตาย

หนังตัดมาให้เห็นตอนท้ายที่สมาคมฯ แม่ของป่านมาร่วมและกำลังดูใครซักคนที่ทรงผมรูปร่างคล้ายป่านถูกผูกตา และสาธิตวิธีใช้ความเชื่อตตัดดินสอด้วยกระดาษ เหมือนกับที่นิดาเคยมาเข้าร่วมดูตอนต้นเรื่อง แต่พอแกะผ้าผูกตาออก ปรากฏว่าไม่ใช่ป่าน

ตรงนี้หนังตั้งใจหลอกเรา คือสรุปว่าป่านตายไปแล้ว ตอนท้าย เราจึงเห็นว่าแม่ป่านเข้าร่วมสมาคมนี้เต็มตัว และมีความเชื่อเหมือนกับนิดา เธอสร้างป่านขึ้นมาและอยู่แต่ในห้องเหมือนต้น

ส่วนนิดาหลังจากฆ่าสามีตัวเองตายก็เข้าโรงพยาบาลบ้า แล้วก็มีตอนที่เธอเห็นว่ามีกระดาษลอดผ่านช่องประตูเข้ามาเขียนว่า ต้นรักแม่

ผมวิเคราะห์ว่านิดามีทั้งภาวะทางจิต และมีทั้งพลังแห่งความเชื่อ เธอยอมรับไม่ได้ว่าต้นตายไปแล้วตั้งแต่เหตุการณ์ทะเลาะกันกับสามีคราวนั้น เธอจึงจินตนาการว่าต้นยังอยู่ในห้องอยู่ แต่จากการที่เธอมีความเชื่ออย่างไม่สงสัย จากจิตของเธอ ทำให้มีต้นขึ้นมาจริง ๆ เพียงแต่ในสายตาของเธอ เธอเห็นเป็นต้นตลอด เพราะเธอมีภาวะปัญหาทางจิต แต่ในความจริงแล้ว ต้นเป็นแค่ร่างผีดิบเท่านั้น

คนที่ได้เห็นร่างผีดิบต้นมีสามคน คือ โดม พ่อต้น และก็ป่าน ทุกคนเห็นเหมือนกัน

ส่วนตอนท้ายผมวิเคราะห์เอาว่านิดาจินตนาการเอาเองว่ามีกระดาษที่เขียนว่า ต้นรักแม่ สอดเข้ามาใต้ช่องประตูมากกว่าจะคิดว่าเธอใช้ความเชื่อสร้างมันขึ้นมา

อย่างที่บอกแล้วว่ามีตอนที่ไม่น่าเชื่อถือที่หนังละเลยไป คือหลังจากโดมตายนั้น ไม่มีใครสนใจตามหาความจริง เหมือนจะถูกตัดทิ้งไปเลย ยากที่จะเชื่อได้ว่าคนหายไปทั้งคนจะไม่มีใครตามหาเลยเหรอ ถ้าให้โปรดิวเซอร์คนนั้นมาตามหา ตามสืบอาจจะดูสมจริง และทำให้หนังมีรสชาติมากขึ้นก็ได้

เรื่องของพลังแห่งความเชื่อนั้น มีสองแบบคือ แบบที่ใช้ความเชื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ กับแบบที่สร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาได้ คือสร้างสิ่งที่ไม่มีให้มีได้ แบบหลังนี้เรียกว่า miracle creature

อย่างถ้ารักษาโรคให้หาย เป็นเรื่องภายใน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นใหม่ แต่ถ้าคนแขนขาดแล้วแขนงอกออกมาอันนี้เป็น miracle creature

แต่ประเด็นคือหนังทำให้เราทำใจให้เชื่อได้ยากว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้จริง ๆ ทำให้พอหนังจบ เรารู้สึกเหวอไปเลย ว่าเล่นมุกนี้เลยเหรอ

นั่นแหละเหมือนที่เกริ่นไว้ คือผู้สร้างพยายามจะฉีกให้ตอนจบไม่ซ้ำกับเรื่องอื่นมากเกินไป เกินจะรับได้

ทำให้ผลตอบรับของหนังเรื่องนี้กับตอนจบของเรื่อง ส่วนใหญ่แล้วจะรู้สึกว่าจบได้ "เลวร้าย"

สิ่งที่คนส่วนใหญ่ที่ดูหนังเ้รื่องนี้แล้วสงสัยคือ

1. ตกลงเรื่องราวในหนังจริงหรือเปล่า หรือนิดาคิดขึ้นเอง เพราะเป็นโรคประสาท

- อันนี้ผมว่าถ้าเคลียร์ตรงนี้ได้ก่อน จะทำให้เคลียร์ประเด็นในหนังได้ตรงกันหมด สำหรับผมแล้วผมคิดว่าหนังไม่ได้เล่าเรื่องสลับซับซ้อน ยอกย้อนขนาดนั้น หลังจากต้นตาย นิดาไม่ได้เป็นบ้า แต่อาจจะมีอาการทางจิต คือไม่ยอมรับความจริง และเมื่อเธอไปเข้าร่วมสมาคม นั่นทำให้เธอยิ่งพัฒนาความเชื่อผนวกกับอาการทางจิตของเธอเอง ทำให้เธอทำสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ขึ้นมาได้

2. ทำไมนิดา ยิงลูกตายแล้วไม่ติดคุก

- นั่นน่าจะเพราะเป็นอุบัติเหตุ

3. นิดาซ่อนศพลูกไว้ในบนเพดานใช่มั้ย ส่วนในห้องไม่มีอะไร

- ศพบนเพดานที่โอ๊ต มอเตอร์ไซค์รับจ้างเห็นและที่ป่านเห็นตอนท้ายเป็นศพของโดมแน่นอน ลงสต็อปตอนที่โอ๊ตเห็นศพดูก็ได้ จะเห็นเคราบนหน้าศพที่อ้าปากค้างอยู่ ส่วนในห้องก็มีร่างที่นิดาสร้างขึ้นมาจากความเชื่อของเธอเอง ป่านเลยเห็นเงาคนเดินไปมา

4. นิดาเอาศพลูกไว้ในห้องใช่มั้ย แล้วจึงทำให้มีชีวิตขึ้นมาด้วยพลังความเชื่อของเธอ

- ไม่น่าจะใช่นะครับ เรื่องตอนที่ต้นตายนั้นน่าจะเป็นไปตามครรลองของมัน คือเป็นอุบัติเหตุ คงมีการตรวจสอบของตำรวจแล้ว เอาศพไปทำพิธีเรียบร้อย เพราะพ่อต้นไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วยเลย เขายังคิดว่านิดาบ้าที่ยังเชื่อว่าต้นยังอยู่ในห้องอยู่ เขาเลยพยายามจะพิสูจน์ว่านิดาบ้า แต่พอเปิดมาเจอซอมบี้ต้นเข้า เขาจึงตกใจ ส่วนนิดาก็หลอกตัวเองว่าต้นยังไม่ตาย อันสืบเนื่องจากอาการทางจิตของเธอ

5. ที่เห็นในห้องคือผีต้นใช่มั้ย

- อันนี้ก็ไม่น่าจะใช่ครับ เพราะหนังปูเรื่องมาแล้วตอนที่เล่าเรื่องแคเธอรีน น่าจะเป็นร่างที่ถูกสร้างขึ้นเพราะพลังแห่งความเชื่อ ทำให้เป็นจริงขึ้นมา

6. ตกลงตาลตายเหรอ หรือตาลเป็นผู้ชาย เพราะเห็นตอนท้ายหน้าเหมือนผู้ชาย

- ตาลน่าจะตาย แต่หนังหลอกเรา ตอนที่กอลลั่มแทงไม้เข้าไปที่ตัวตาล หนังไม่ได้เปิดเผยภาพให้เห็น แล้วตัวกอลลั่มก็สลายไป ตอนหลังพอเราเห็นคนที่แม่ตาลนั่งดูอยู่เปิดหน้ามาเหมือนกระเทย (จริง ๆ ผมดูแล้วไม่ใช่กระเทย แต่เป็นผู้หญิงคนอื่นมากกว่านะ) อันนั้นหนังก็หลอกเรา ว่าอ้าวไม่ใช่ตาลนี่นา นั่นเพราะตาลตายไปแล้ว

7. แล้วนิดาตายหรือเปล่า ในเมื่อกอลลั่มสลายไปแล้ว แล้วทำไมนิดายังไปโผล่ในโรงพยาบาลบ้าได้อีก

- ผมเชื่อว่านิดาไม่ได้ตาย และตรงนี้หนังน่าจะทำมาไม่เคลียร์เอง เพราะหนังติดกับดักเรื่องราวของตัวเอง การที่เราได้ฟังว่าหลังจากแคทเธอรีนตายไป 2 ชั่วโมง ลูกของเธอก็สลายกลายเป็นฝุ่นไป ทำให้เรารับเอารูปแบบนั้นมา ว่าร่างผีดิบต้นสลายไปนั้น เพราะนิดาตายนั่นเอง แต่อาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ เพราะสิ่งที่หนังเล่ามานั้น ไม่ได้เป็นการกำหนดกฏเกณฑ์แต่อย่างใด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเกินธรรมชาติ มีตัวแปรที่เราไม่รู้อีกเยอะ มันอาจจะเกิดจากจิตใจที่อ่อนแอลง เพราะเธอบาดเจ็บหนักก็ได้ หรืออาจจะเิกิดจากการที่เธอคิดชั่ว อยากกำจัดสามีตัวเอง อยากกำจัดป่าน ความคิดแง่บวกก็หายไป ทำให้พลังความชั่วร้ายเข้าหาเธอ (อ้างอิงจากที่อ.สุนีย์พูดตอนก่อนเล่าเรื่องแคทเธอรีน) ทำให้ร่างกอลลั่มต้นสลาย และทำให้เธอเป็นบ้าเต็มตัว

8. ตอนท้ายที่แม่ป่านยื่นหนังสือการ์ตูนสอดเข้าใต้ประตู ใครอยู่ในห้อง คิดไปเองหรือเปล่า

- หนังเหมือนจะทำให้เราตีความว่าแม่ป่านเจริญรอยตามนิดาแหละครับ และที่อยู่ในห้องน่าจะเหมือนกับกอลลั่มต้น แต่เป็นเพศหญิง (น่าเสียดายน่าจะมาจับคู่กันไปเลย)

9. ตอนท้ายเรื่องที่นิดาเห็นกระดาษสอดเข้ามาว่า "ต้นรักแม่" หมายความว่ายังไง

- อันนี้แหละคือส่วนที่ไม่เคลียร์ที่สุดของเรื่องนี้ และทำให้เราต้องตีความเอง ผมตีความว่า นิดาบ้าไปแล้วแบบเต็มขั้น ก่อนนี้เธอแค่มีอาการทางจิต แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ผมเลยคิดว่าเธอคิดไปเองครับ บางคนอาจจะคิดว่าเธอใช้พลังจิตทำให้กระดาษเลื่อนเข้ามาในห้องเพื่อหลอกตัวเอง แต่ผมเห็นต่างกัน ตรงที่ว่าจริง ๆ นิดาไม่ใช่คนที่มีพลังจิตแก่กล้านะครับ ไม่ใช่ว่าเธออยากจะทำอะไรก็ทำได้ เธอแค่ทำสิ่งอัศจรรย์ขึ้นมาได้ เพราะเธอเชื่อในเรื่องนั้นจริง ๆ ดังนั้นพอเธอเป็นบ้า ผมก็เลยไม่คิดว่ามีเหตุผลอะไรจะเชื่อว่าเธอใช้พลังจิตทำให้กระดาษเลื่อนเข้ามา เพราะเธอไม่ได้มีพลังจิตครับ

สุดท้ายคำว่าฮิคิโคโมริก็แทบไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่องเลย นอกจากจะนำมาเป็นทำเป็นประเด็นของคนที่อยู่แต่ในห้อง ไม่ออกมาข้างนอกเท่านั้น และสร้างความสงสัยว่าใครกันแน่ที่อยู่ในห้อง

แต่เมื่อเราได้รู้ว่าใครกันแน่ที่อยู่ในห้อง ก็อาจจะทำให้หลายคนคิดว่า ไม่รู้อาจจะดีกว่า

ผมให้คะแนนเรื่องนี้ซัก 6.5/10 แล้วกัน