ยินดีต้อนรับครับ

ยินดีต้อนรับครับ

ทักทาย

ผมลองจัดระเบียบบล็อกใหม่ดูนะ ครับ

โดยแบ่ง Group Blog ออกตามประเภทของหนังและนิยายนะครับ
เพราะคิดว่าหลายคนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบ ดูหนังทุกประเภท

เช่น บางคนชอบดูหนัง Romantic แต่ไม่ชอบดูหนังสยองขวัญเลย เพราะไม่ชอบ น่ากลัว

บางคนก็ชอบดูหนัง สยองขวัญเป็นชีวิตจิตใจ หนังชีวิตน่าเบื่อมาก ไม่ชอบดู

ผมเลยแบ่ง หมวดหมู่เป็นประเภทของหนัง (แต่ตอนนี้แต่ละหมวดยังน้อยอยู่) เผื่อว่าใครผ่านเข้ามาในบล็อกแล้วอยากจะอ่านรีวิวเก่า ๆ จะได้เลือกได้ตามประเภทของหนังตามที่ชอบได้

ที่แบ่งตั้งแต่ตอนนี้ แม้หนังที่เขียนยังไม่เยอะ เพราะคิดว่าต่อไปเกิดเยอะมาแบ่งที่หลังจะยิ่งเสียเวลาน่ะครับ

บางเรื่องก็แบ่งยากเหมือนกัน มันคาบเกี่ยวกัน แต่ผมจะพยายามยึดอารมณ์ของหนังเป็นหลักน่ะครับ

อ้อ แล้วก็ในบล็อกผมตั้งใจจะขึ้นคำเตือนในทุกบล็อกว่าตรงไหนคุยแบบไม่สปอยล์ ตรงไหนคุยแบบสปอยล์ เวลาใครมาอ่านจะได้อ่านแบบสบายใจได้ไม่ต้องกลัวถูกสปอยล์นะครับ

ถ้าใครแวะมาแล้วไม่รู้จะคอมเมนต์ อะไร ก็ฝากข้อความทิ้งไว้ที่ Shout Box ด้านข้างได้นะครับ


ขอบคุณ ทุกท่านที่แวะเวียนมาอ่านนะครับ ผมก็จะแวะเวียนไปหาท่านด้วยเช่นกัน ตามโอกาสและเวลา

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

5 พยัคฆ์พิทักษ์ซุนยัดเซ็น : ในวันที่พวกเขาต้องเสียสละเพื่อชาติ

รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญของเรื่องครับ

เรื่องราวที่สร้างจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ของจีน ที่ถูกนำมานำเสนอในมุมมองอีกด้านหนึ่งของเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ขออนุญาตินำเรื่องย่อมาลงเลยแล้วกัน

ปี 1905 นครแห่งวิคตอเรีย (อาณานิคมอังกฤษของฮ่องกง) ในระยะ 13 ช่วงตึก ชายผู้หนึ่งซึ่งกุมโชคชะตาของชาติต้องอยู่รอด พยายามอย่างไม่ย่อท้อในชีวิตซึ่งมีบอดี้การ์ด 5 คนเท่านั้นที่คอยปกป้องเขา เพื่อสู้กับมือสังหารนับร้อย บุรุษเหล่านี้ต้องทดสอบความกล้าหาญเพื่อปกป้องความหวังของผู้คนนับล้านในค่ำ คืนที่มีภยันตราย แม้จะต้องสู้จนชีวิตหาไม่สังเวยชีวิตนับล้านเพื่อความยิ่งใหญ่ของซีซาร์


ก่อนที่ด็อกเตอร์ซุน ยัด เซ็นจะกลายเป็นบิดา แห่งประเทศจีนยุคใหม่โดยกระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติในปี 1911 ซึ่งโค่นราชวงศ์ชิง ชีวิตเขาเกือบถูกสั่งลอบสังหารในวันที่ 15 ตุลาคม ปี 1905 ตอนที่เขามาถึงฮ่องกงเพื่อประชุมลับเพื่อก่อตั้งกลุ่มต่อต้านการปฏิวัติ ราชวงศ์ชิง

ก่อนหน้าการมาของเขา กลุ่มมือสังหารอันดับต้นๆถูกเรียกตัวโดยราชสำนักชิงเพื่อให้มั่นใจว่าด็อก เตอร์ซุนไม่รอดชีวิตไปจากอาณานิคมอังกฤษ มือสังหารพร้อมอาวุธร้ายแรงประจำอยู่ทุกที่ใน 13 ช่วงตึกระหว่างทางจากท่าเรือที่ด็อกเตอร์ซุนจะลงจากเรือ

พอข่าวเรื่องการพยายามลอบสังหารกระพือ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์และนักธุรกิจท้องถิ่นซึ่งสนับสนุนการปฏิวัติอย่าง ลับๆได้ออกมาปกป้องด็อกเตอร์ซุนด้วยตัวเอง พวกเขารวบรวมผู้ชายและผู้หญิงกลุ่มหนึ่งซึ่งมีทักษะพิเศษในการต่อสู้เพื่อ คุ้มกันด็อกเตอร์ซุนเมื่อเขามาถึงท่าเรือ พวกเขาคือ...

นักพนัน นักพนันตัวยงที่ยังลังเลว่าจะช่วย ราชวงศ์ชิงหรือทีมปฏิวัติ
ขอทาน ติดฝิ่นงอมแงม ซึ่งพยายามเลี่ยงอดีตของตัวเองที่เป็นลูกชายในตระกูลไฮโซ
ชายลากรถ คนขับรถของนักธรุกิจท้องถิ่นและบอดี้ การ์ด ผู้ภักดีและถ่อมตัว สิ้นหวังในรักกับลูกสาวพ่อค้าชั้นสูง
นักร้องหญิง นักแสดงละครโอเปร่าซึ่งปรากฏว่า เป็น Wing Chun master และเป็นลูกสาว Tai Ping นักปฏิวัติ
พ่อค้าเร่เส้าหลิน พ่อค้าขายเต้าหู้และอดีตลูก ศิษย์วัดเส้าหลิน


ตลอดระยะเวลา 5 ชั่วโมงภายใน 1 วัน มิตรภาพ ความขัดแย้งและความสามารถของพวกเขาถูกทดสอบขณะที่ต่อสู้โดยไม่คิดชีวิตเพื่อ ปกป้องชายที่พวกเขาแทบไม่รู้จัก แม้พวกเขาแต่ละคนจะถูกตามล่าโดยพวกมือสังหารจอมโหด บอดี้การ์ดเหล่านี้ก็ทำภารกิจสำเร็จโดยช่วยชีวิตด็อกเตอร์ซุนไว้ได้ พวกเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นนักปฏิวัติหรือวีรบุรุษ แต่การเสียสละชีวิตนิรนามของพวกเขาได้เปลี่ยนวิถีประวัติศาสตร์ของโลกไปโดยสิ้นเชิง


หนังเรื่องนี้กำกับโดย เท็ดดี้ เฉิน แต่ Trailer ในเมืองไทย ชูชื่อ ปีเตอร์ ชาน ซึ่งอำนวยการสร้าง เพราะชื่อของ ชานเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงหนังไทยจากผลงานการสร้างหนังไทยหรือหนังร่วมทุนไทยฮ่องกงหลายเรื่อง อย่าง จันดารา , The Eye คนเห็นผี , Three Extreme อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต ปีเตอร์ ชาน จึงเป็นเหมือน Jerry Bruckhimer ของเกาะฮ่องกง ที่แฟนหนังมักรู้ัจักมากกว่าัตัวผู้กำกับ

หนังเรื่องนี้เลือกที่จะเจาะเรื่องราวแคบไปที่เหตุการณ์ก่อนการมาถึงเกาะฮ่องกงของดร.ซุน ยัด เซ็น 4 วัน และเน้นเรื่องราวไปที่กลุ่มบุคคลที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อปกป้องดร.ซุน และยอมเสียสละชีวิตตัวเองให้ภารกิจนี้สำเร็จ

หนังมีนักแสดงมีฝีมือร่วมแสดงมากมาย

ดอนนี่ เยน , หวังเสวี่ยฉี , เหลียงเจียฮุย , เซียะถิงฟง , ฟ่านปิงปิง , เจิ้นจื่อเหว่ย , หวังปั๋วเจี๋ย ,โจวหยัน , เม็งบาเทียร์ , เยิ่นต๊ะหัว , หูจุน , หลี่หมิง , จางเซี๊ยะโหย่ว , หลี่เจียซิน


และคว้ารางวัลสำคัญ ๆ ทั้งในและนอกประเทศมาครองได้หลายรางวัล โดยเฉพาะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมของ เซียะถิงฟง จากเวที Hongkong Film Awards

และไปได้รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมในบทของหวังเสวี่ยฉี และนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมของเซียะถิงฟง จากเวที Asian Film Awards มาอีกครั้ง

ซึ่งนี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผมอยากดูหนังเรื่องนี้


การแสดงของนักแสดงในเรื่องทั้งหมดที่โดดเด่นที่สุดคงจะเป็นหวังเสวี่ยฉี ในบทของคณบดี ที่ทำให้ผมนึกถึงตัวละครออสการ์ ชิลด์เล่อร์ในเรื่อง Shindler's List ขึ้นมาทันที

หลี่อิ้วถังเป็นมหาเศรษฐีที่มีจิตใจที่ดีงาม ใครไม่มีเงิน ไม่มีข้าวกินมาขอพึ่งเขา เขายินดีช่วยเหลือหมด และเบื้องหลังเขาเป็นนายทุนผู้สนับสนุนการปฎิวัติ แต่ตัวเขาไม่ต้องการให้ตัวเองและครอบครัวเข้าไปพัวพันอย่างเต็มตัวกับการกระทำครั้งนี้ เพราะนั่นหมายถึงอันตรายแก่ชีวิตตัวเองและครอบครัว

ช่วงต้น ๆ เราอาจจะเห็นว่าเขาดูเหมือนจะเห็นแก่ตัวนิด ๆ จากฉากปะทะคารมกับเฉินเสี่ยวไป๋ (เหลียง เจีย ฮุย) เพื่อนเก่า ผู้เป็นอาจารย์ผู้นำการปฏิวัติในจีน

แต่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจปฏิเสธชะตากรรมบนเส้นทางที่เขาเลือกเดินได้


หวังเสวี่ยฉีให้การแสดงที่คู่ควรแก่รางวัล (น่าเสียดายที่พลาดรางวัลในบ้านเกิด) บทพ่อที่พยายามปกป้อง และกันให้ลูกชายคนเดียวของตัวเองออกห่างจากการปฏิวัติ แต่ตัวเองตัดสินใจเข้าร่วมอย่างเต็มรูปแบบ ให้ความรู้สึกแก่คนดูได้ว่า เขาเป็นพ่อที่มีความเข้มงวดและก็มีความรักในตัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวน หวังจะฟูมฟักให้เติบโตรับช่วงต่อจากเขา แต่ตัวเองก็ไม่อาจปฏิเสธในสำนึกที่มีต่อบ้านเกิดได้

ฉากที่เขาต้องขอร้องให้คนจำนวนมากช่วยปกป้องดร.ซุน ยัดเซ็น นั้นถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดี

เป็นชายที่ยืนอยู่บนจุดที่ยากลำบากในการตัดสินใจ ซึ่งหวังเสวี่ยฉีถ่ายทอดออกมาได้ยอดเยี่ยมสมราคา


อีกคนหนึ่งที่ทำให้หนังมีพลังมากขึ้นก็คงไม่พ้นเซียะถิงฟงในบทของชายลากรถผู้จงรักภักดี หนังให้ความสำคัญกับตัวละครตัวนี้พอสมควร จึงทำให้เห็นว่าเขามีฝัน มีความรักกับหญิงสาว และกำลังจะได้แต่งงานเมื่อเสร็จภารกิจนี้ในวันรุ่งขึ้น

ทำให้เรารู้สึกผูกพันและเอาใจช่วยกับตัวละครตัวนี้จนถึงช่วงสุดท้ายของหนัง


ในเรื่องตัวละครที่ถือว่าเป็นบทรับเชิญอาจนับได้สี่คน คือ จางเซี้ยะโหย่วที่รับบทหยางซุนหยู อาจารย์ผู้นำการปฏิวัติ ที่ปรากฏตัวตอนต้นเรื่อง และ หลี่เจียซิน อดีต miss Hongkong ในบทคนรักของคุณชายหลิว ทั้งสองคนนี้ไม่มีบทบาทอะไรมากนัก นอกจากฝ่ายหลังจะปรากฏตัวเพื่อให้เรื่องนี้มีอะไรสวย ๆ งาม ๆ บ้าง


สองคนที่มีบทมากหน่อย คนหนึ่งนั้นคือ เยิ่นต๊ะหัว ในบทนายพลฟาง อดีตผู้นำกองกำลังพันธมิตรแปดชาติ ที่หลบหนีมาอยู่ในเกาะฮ่องกง มีบทบาทช่วงต้นของเรื่อง มีบทให้แสดงอารมณ์อยู่นิดหน่อย แล้วก็ไป ทำให้ผมนึก Steven Siegal ที่โผล่มาในเรื่อง Executive Disicion ซึ่งให้อารมณ์เดียวกันกับตอนที่ผมดูเรื่องนั้นเลย ว่า "อ้าว ไปซะแล้ว"


อีกคนที่มีบทมากกว่าซักหน่อย คงเป็นหลี่หมิง ในบทคุณชายหลิว ซึ่งสำหรับผมรู้สึกว่าผิดหวังกับการแสดงของหลี่หมิงและรูปลักษณ์ของเขาเป็นอย่างมาก ตอนแรก ๆ ที่ยังเป็นยาจกขอทานอยู่ยังพอโอเค แต่พอตอนท้ายที่สลัดคราบแล้วลุกขึ้นมาร่วมต่อสู้ ผมสงสัยว่าเขาไม่ถูกกับคนเขียนบทและคอสตูมหรืออย่างไร ทำไมถึงแกล้งกันอย่างนี้

อุตส่าห์หายไปนานกว่าจะโผล่ พอออกมา ปรากฏว่า อ๋อ ไปเสียเวลาไดร์ผมมานี่เอง แล้วหน้าตาก็มีบล็อกเดียวตลอดเวลา น่าเสียดายฝีมือ



สำหรับตัวละครของฟ่าน ปิงปิง ผมรู้สึกว่าแคสติ้งนักแสดงมาผิดคน คือเธอสวยแบบโดดออกจากตัวหนังเกินไป จนเกินกว่าจะเชื่อได้ว่่าครั้งหนึ่งเคยเป็นภรรยาของเสิ่น ถุงหยาง (ดอนนี่เยน) พระเอกของเรื่อง


สำหรับดอนนี่ เยน เอง ซึ่งเรื่องนี้อาจถือได้ว่าเป็นพระเอกของเรื่อง แต่กลับโดนรัศมีของเสวี่ยฉี และถิงฟงกลบไปจนหมด จะกลับมาฉายแววก็ช่วงท้าย ๆ ที่ได้โชว์ฝีไม้ลายมือนั่นแหละ


น่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้ไม่ตัดใจ สร้างเรื่องราวให้สมจริง และขึงขังให้มากกว่านี้ เพราะไอเดียการจับเอาตัวละครแตกต่างกัน 5 คนมารวมตัวกันเป็นบอดี้การ์ดจำเป็นเพื่อภารกิจสำคัญที่จะพลิกหน้าประวัติศาสตร์นั้นเป็นไอเดียที่ดี และเล่นได้อีกเยอะ

แต่เหมือนหนังจะเสียดายความเป็นหนังแอคชั่นบู๊สไตล์หนังจีนกำลังภายใน ในเรื่องจึงมีการใส่ฉากต่อสู้ที่ต้องการจะตอบสนองคอหนังแนวนี้ไว้ ทำให้หนังมีความเป็นหนังมากเกินไป ประเภทตัวละครอึดตายยากอย่างไม่น่าเชื่อ แทงเท่าไหร่ก็ไม่ตายซักที หนึ่งคนสู้ได้เป็นสิบ ๆ คน ทำให้ความรู้สึกร่วมในการชมหนังเรื่องนี้ถูกลดทอนลงไป


อย่างไรก็ตามก็ถือว่า Bodyguards and Assassins หรือ 5 พยัคฆ์พิทักษ์ซุนยัดเซ็น เป็นหนังที่ดูเอาบันเทิงได้ดี และให้ความรู้และแง่คิดแก่เราได้

เป็นหนังจีนดี ๆ เรื่องหนึ่งในช่วงที่ตลาดหนังจีนฮ่องกงบ้านเราอยู่ในช่วงขาลง

ให้คะแนนความชอบ 6.5/10 ครับ

สามชุก ทุกชีวิตมีรายละเอียด : หนังดี ดูสนุก ที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าดู

รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญของเรื่อง

ชื่อเต็ม ๆ ของหนังเรื่องนี้ คือ "สามชุก ขอเพียงโอกาสอีกสักครั้ง"

ผมว่าหนังไทยหลายเรื่องประสบปัญหากับการตั้งชื่อหนัง ไม่ใช่ว่าตั้งได้ไม่ดีนะครับ แต่คนดูหนังบ้านเรามีวัฒนธรรมที่การเลือกดูหนังจาก "หน้าหนัง" และ "ชื่อหนัง"

ซึ่งชื่อหนังเนี่ย ต้องถือว่าได้รับอิทธิพลมาจากการที่เวลาหนังฝรั่งและหนังฮ่องกงเข้าไทย ต้องคิดชื่อหนังในเวอร์ั่ชั่นไทยให้อลังการหรือตลก ๆ เข้าว่า

พวกคำประเภท มหันตภัยล้างโลก อภิมหาอึดทะลวงโลก โคตรคนมหากาฬ ฯลฯ ประมาณนี้ ทั้ง ๆ ที่ชื่อหนังฝรั่งอาจมีแค่คำสองคำก็ได้

ดังนั้นถ้าหนังเรื่องนี้จะตั้งชื่อว่า "สามชุก" ส่วนประโยคหลังนั้นแทบไม่มีใครรู้จัก แล้วจะไม่มีคนเข้าไปดูก็คงไม่แปลก เพราะ "โหมโรง" ก็เคยโดนมาแล้ว

ทั้ง ๆ ที่ดู ๆ กันแล้วชื่อหนังต่างประเทศเชย ๆ ก็มีเยอะแยะ เช่น "Notting Hill" นี่ชื่อถนน "Wall Street" ชื่อตลาดหุ้น "Titanic" นี่ก็เรือ "Up" ขึ้น "Cars" รถหลายคัน "Ghost" ผี "300" .......แต่หนังพวกนี้ก็ประสบความสำเร็จทางรายได้ได้ไม่ยาก

แต่ต้องยอมรับด้วยว่าหน้าหนังของ "สามชุก" เป็นของแสลงที่คนดูหนังไทยเพื่อความบันเทิงมักหลีกเลี่ยง และปฏิเสธ หนังประเภทที่ทำเหมือนกับว่าสร้างมาเพื่อสั่งสอน แล้วยิ่งได้กระทรวงอะไรต่อมิอะไรออกมารับรองด้วยแล้ว ยิ่งกลายเป็นข้อเสียที่ทำให้คนไม่ไปดูหนังเรื่องนี้เ้ข้าไปใหญ่

หลายคนไม่อยากเสียเวลาเข้าไปนั่งดูหนัง 2 ช.ม. เพื่อจะรับสาส์นที่หนังตั้งธงไว้มาสอนเราว่า ไอ้นั่นไม่ดี ไอ้โน่นไม่ดีนะ คนส่วนใหญ่อยากไปดูหนังเพื่อความบันเทิง

นี่แหละัหนังเรื่องนี้จึงถูกมองข้ามไป

แต่ผมอยากบอกว่า "สามชุก ขอเพียงโอกาสอีกสักครั้ง" เป็นหนังที่ไม่ใช่้แค่ให้ข้อคิดดี ๆ แ่ต่หนังก็ดูสนุกด้วย และที่สำคัญหนังสร้างมาแบบเข้าใจคน


หนังเปิดเรื่องด้วยการบอกให้เราทราบว่า "ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง"

สามชุก ฯ เป็นเรื่องราวของนักเรียนม.ปลาย 7 คน ในชุมชนเล็ก ๆ ของอำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ที่อยู่ในช่วงเวลาหัวเลี้่ยวหัวต่อของชีวิต พวกเขาต่างมีปัญหาชีิวิตที่แตกต่างกันไป บางคนก็มีปัญหาทางบ้าน พ่อติดเหล้า หรือพ่อไม่เข้าใจ คาดหวังในตัวเขาสูงเกินไป บางคนก็ขาดความรักไม่มีพ่อแม่คอยดูแล บางคนมีปัญหาส่วนตัว ถูกเพื่อนแกล้ง บางคนต้องทำงานหนักตื่นแต่เช้าเข้านอนดึก เพื่อหาเงินช่วยที่บ้าน แต่พวกเขาก็มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน มีชีวิตที่สนุกสนานตามวัย และมีคนรักที่ดี


แต่ยาเสพติด หรือถ้าเจาะจงให้แคบลงก็คือ "ยาบ้า" ก็เข้ามาสู่ชุมชนแห่งนี้ และพวกเขาเหล่านี้ก็ตกเป็นเหยื่อของมัน ด้วยเหตุผลของแต่ละคนแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือพวกเขากำลังได้รับผลจากการเข้าไปยุ่งกับมันด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อถลำลึกลงไป ชีวิตเขาก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น จะพยายามกลับตัว ที่ยืนในสังคมก็หาได้ยาก เพราะคนมากมายต่างรุมประนาม

ครูพินิจเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองของโรงเรียนสามชุก เขาเป็นครูธรรมดา ๆ คนหนึ่ง แต่สิ่งที่ต่างออกไป คือ ครูพินิจ มีจิตวิญญาณความเป็น "ครู" ซึ่งปัจจุบันหาได้ยากในครูทั่ว ๆ ไป

เขาลุกขึ้นช่วยเหลือ และออกหน้ารับ ขอโอกาสให้เด็กเหล่านี้อีกสักครั้ง เพราะเขาเชื่อว่า เด็กเหล่านี้เป็นเพียงแค่เหยื่อไม่ใช่เนื้อร้ายของสังคม คนรอบข้างต้องช่วยกันรับผิดชอบ เพราะสังคมอ่อนแอ ยาบ้าถึงเข้ามาถึงเด็กเหล่านี้ได้ เด็กเหล่านี้เพียงแค่โชคร้ายกว่าเด็กคนอื่น ๆ เท่านั้นที่เจอกับมันก่อน


ผลงานการกำกับของ ธนิตย์ จิตนุกูล หรือ คุณปื๊ด ผู้กำกับที่มีประสบการณ์การทำงานยาวนาน เรื่องนี้ สร้างจากเหตุการณ์จริงของครูกับลูกศิษย์อีก 7 คน ที่ช่วยปลุกกระแสของชุมชนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ทำสงครามกับยาเสพติด

ชีวิตของเด็ก 7 คนนี้รอดพ้นกับจุดจบอันน่าเศร้าได้ เพราะมีครูคนหนึ่งที่เขาไม่หมดหวังกับชีวิตของลูกศิษย์ และได้ลงมือทำอย่างเต็มกำลังเท่าที่เขาจะทำได้ สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้กลับมาเป็นสิ่งยิ่งใหญ่และมีคุณค่าสำหรับชีวิตของคนที่เป็นครูอย่างแท้จริง

ส่ิงที่เป็นข้อดีของหนังเรื่องนี้ คือ เป็นหนังที่สร้างแบบจริงใจดี แม้อาจจะดูเชยไปบ้าง งานเทคนิคการสร้างไม่ได้อลังการ และดูแล้วไม่ใช่ว่าฝีมือของผกก.ไม่ถึง เพราะขึ้นชื่อ ปื๊ด ธนิตย์ จิตนุกูล แล้ว ฝีมือน่ะมีแน่นอน แต่คุณปื๊ดเลือกที่จะนำเสนอออกมาแบบเรียบ ๆ เหมือนหนังชนบทมากกว่า หนังให้อารมณ์หนังไทยแบบเดิม ไม่มีกล้องดอลลี่ หรือแพนภาพมุมกล้องจากบนเครน ซึ่งทำให้ผมดูหนังเรื่องนี้ได้เข้าถึงบรรยากาศชนบทได้มากกว่า


นักแสดงของเรื่องส่วนใหญ่เป็นมือใหม่ทั้งนั้น ยกเว้นคุณปรเมศร์ น้อยอ่ำ ที่รับบทครูพินิจ ตัวเอกของเรื่องที่เคยมีผลงานจากบอดี้ ศพ 19 มาก่อน กับคุณศิริวิมล เรขา ที่รับบทอ.สมฤดี อาจารย์แนะแนวของโรงเรียน


ที่เหลือเป็นนักแสดงมือสมัครเล่นทั้งนั้น โดยเฉพาะนักแสดงเด็กหลัก ๆ ทั้ง 10 คน คือกลุ่มเด็กผู้ชาย 7 คน และเด็กผู้หญิง 3 คน ต่างเป็นเด็กในพื้นที่ทั้งนั้น

ซึ่งนี่ทำให้ผมประัทับใจหนังเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะความเป็นคนเชื้อสายสุพรรณ (พ่อแม่เป็นคนบางปลาม้า) ของผม ทำให้ผมฟังสำเนียงสุพรรณในเรื่องนี้ได้อย่างรื่นหู

เพราะบอกได้เลยว่าหนังที่มีตัวละครคนสุพรรณแทบทุกเรื่อง ไม่เคยพูดสำเนียงสุพรรณตรงตามสำเนียงจริง ๆ เลย เป็นสำเนียงที่พยายามดัดให้เหน่อ ดูเทียบได้จากบุญชูทุกภาคที่ผ่าน

และที่สำคัญทุก ๆ คนก็เล่นได้อย่างดีและเป็นธรรมชาิติ แม้บางจังหวะที่ยังไม่สามารถปล่อยบทพูดบางประโยคให้ไหลรื่นได้ แต่โดยรวมแล้วทุกคนต่างรับผิดชอบบทของตัวเองได้เป็นอย่างดี และทำให้คนดูอย่างเราเชื่อได้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนรักกัน

จังหวะล้อเล่น แกล้งกัน หรือจังหวะแสดงออกทางอารมณ์ก็ทำได้ดี


น้อง ๆ ผู้หญิงก็เล่นได้น่ารัก จนบางทีผมยังแอบคิดว่าอุตส่าห์มีแฟนดี และน่ารักอย่างนี้ ยังจะไปติดยาอีก อันนี้แค่คิดเล่น ๆ นะครับ เพราะชีวิตจริง ๆ มันเ้ป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะคำว่า "ยาเสพติด" แปลว่า ยาที่เสพแล้วติด นั่นเอง



ตัวแสดงที่แสดงเป็นพ่อแม่ของเด็ก ๆ ทุกคนก็สอบผ่านกันทุกคน ต่างรับผิดชอบแคแรกเตอร์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี ในบรรดาทั้งหมดนี้มีคุณแม่เล็ก ซึ่งเ้ป็นแม่ของคุณตั๊ก บงกชแสดงอยู่ด้วย เนื่องจากเธอเป็นคนสุพรรณบุรีแต่กำเนิดด้วย ก็ลองสังเกตุกันเอาเองนะครับ

สรุปแล้วการแสดงของตัวละครทุกตัวในเรื่อง ซึ่งถือว่ามีจำนวนมาก รวม ๆ แล้วที่มีบทบาทกัน อย่างน้อย ๆ ก็ร่วม 20 คนเข้าไปแล้ว ถือว่าทำได้ดีกันแทบทุกคน ซึ่งสำหรับผมต้องบอกว่าเทียบกับประสบการณ์การแสดงและจำนวนคนที่มาก ต้องถือว่าทำได้ดีจนน่าประทับใจ และบทก็ถูกกระจายอย่างทั่วถึง แม้ว่าบางตอนจะมีการเจาะไปที่แต่ละคนแต่ละครอบครัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังน่าเบื่อแต่อย่างใด

ตรงนี้ต้องยกความดีความชอบให้ ผู้กำกับ ผู้เขียนบท และคนที่แคสติ้งนักแสดงมา


ข้อด้อยของหนังเรื่องคือ หนังอาจจะมีการเล่าเรื่องที่เชยไปซักหน่อย หนังมีช่วงเวลาที่ต้องการจะบอกเล่าให้เราทราบว่าแต่ละคนมายุ่งเกี่ยวกับ "ยาบ้า" ได้อย่างไร ก็เลยหาทางออกให้โดยการให้ครูพินิจจับเด็กมานั่งล้อมวงกัน แล้วไล่ถามทีละคนว่า "แล้วนายล่ะมาติดยากได้ยัีงไง" แล้วหนังก็แฟลชแบ็คให้เราเห็น แล้วก็กลับมาเปลี่ยนคนไปทีละลำดับ

ตรงนั้นเราอาจจะดูไปแล้วก็อาจจะรู้สึกได้ว่า "เชยจังว่ะ" แต่หนังก็ไม่ได้น่าเบื่อแต่อย่างใด

บางฉากของหนังอาจจะมีช่วงเวลาบังคับของหนังประเภทนี้ คือต้องมีตอนที่ตัวละครต้องพูดบางสิ่งที่เป็นสารสำคัญที่หนังต้องการจะบอกกับผู้ชมออกมา ซึ่งอาจจะทำให้เรารู้สึกว่าจงใจอยู่บ้าง แต่สำหรับผมก็ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับภาพรวม


แต่ในทั้งหมดเหล่านี้ข้อดีที่สุดของหนังเรื่องนี้คือ เข้าใจคน

หนังนำเสนอให้เห็นว่าชีวิตคนเราทุกคนต่างมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันไป เราไม่สามารถช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้คนคนหนึ่งด้วยวิธีหนึ่งแล้วเอารูปแบบวิธีนั้นไปใช้กับอีกคนหนึ่งได้

ในเรื่องเราจะเห็นว่าทุก ๆ คนที่ติดยา ต่างมีเหตุผลที่แตกต่างกันไป และถ้าจะช่วยเขาได้ก็ต้องเข้าใจและให้โอกาส

เห็นได้ชัดว่าทีมงานทำรีเสิร์จมาอย่างดี และพยายามนำเสนอเนื้อหาหนังที่เกี่ยวกับผลเสียของยาเสพติดอย่างครบถ้วนรอบด้าน หนังไม่ได้ทำให้เห็นแค่ว่าติดยาไม่ดีอย่างไร แล้วต้องเลิกนะ คนที่จะช่วยต้องเข้าใจและทุ่มเทนะ แต่หนังได้บอกด้วยว่าเมื่อคุณดำิเนินชีวิตผิดพลาด คุณก็ต้องรับผลของมัน ถ้าคุณจะกลับมาก็ต้องอดทนและต่อสู้กับมัน และเตรียมตัวรับผลจากการถูกคนรอบข้างไม่ยอมรับด้วย

แฟร์ดีครับ


หนังเกี่ยวกับครูที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มักสร้างจากเรื่องจริง หรือไม่ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริง อย่าง Dead Poet Society , Dangerious Mind , The Chorus , Mr.Holland's Opus หรือหนังไทยอย่างเรื่อง ครูบ้่านนอก ครูไหวใจร้าย เหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วสร้างออกมามักสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ไม่ยาก

เพราะทุกคนเคยเป็นนักเรียนมาก่อน ในช่วงชีวิตหนึ่ง เราเคยถูกสั่งสอนจากคนเป็นครูทั้งนั้น

สมัยก่อนอาชีิพครูเป็นอาชีพมีเกียรติ เป็นอาชีพที่คนมาเป็นมักเป็นคนที่มีความตั้งใจอยากเป็นเรือจ้างที่พานักเรียนข้ามไปถึงฝั่งฝัน เป็นอาชีิพที่น่าภาคภูมิใจ

ไปถามคนรุ่น 30-50 ปี ดูได้ว่าครูที่เขาจดจำได้เป็นครูคนไหน ส่วนใหญ่ทุกคนจะจำครูที่เข้มงวดและใส่ใจสั่งสอนชีวิตเรามากกว่าครูที่เพียงแค่สอนวิชาความรู็เท่านั้น

และหลายคนยอมรับเลยว่า ที่เป็นคนอย่างทุกวันนี้ได้ เพราะไม้่เรียวของครู


สำหรับผม ผมรู้สึกว่าครูพินิจเป็นครูธรรมดา ๆ ที่มีหัวใจความเป็นครูเท่านั้นเอง ผมชอบที่เขาไม่ได้เ้ป็นครูที่เต็มไปด้วยปรัชญา หลายครั้งเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำยังไง จะพูด จะสั่งสอนเด็กเหล่านี้ยังไงให้เข้าใจได้จริง ๆ แต่เขาไม่ยอมไม่แพ้กับมัน ไม่หมดหวัง ตอนที่เขาช่วยเหลือลูกศิษย์ที่พ่อติดเหล้า ด้วยการไปขอร้องให้ร้านเหล้าที่รู้จักกันไม่ขายเหล้าให้ แล้วร้านเหล้าบอกว่าทำอย่างนี้จะได้่ผลเหรอ เขาบอก "ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ก็ทำได้เท่าที่ทำ"

เป็นคนประเภทที่แม้ทำได้แค่นิดเดียว แต่ขอให้ได้ทำมากกว่าไม่ทำอะไรเลย แค่นี้ก็พอแล้ว

แม้คนรอบข้างจะบอกว่าสิ่งที่เขาทำไม่มีประโยชน์หรอก แม้กระทั่งคนที่มีอาชีพครูด้วยกันยังพูดอย่างนั้น แต่ครูพินิจก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ


สุดท้ายหนังก็จบด้วยการที่มีตัวละครหนึ่งถามว่าอาจารย์ทำอย่างนี้ได้ยังไง ครูพินิจตอบว่า " ก็เพราะชั้นเป็นครูพวกมันน่ะสิ

สำหรับผมมันจริงใจดี ไม่ต้องปรุงแต่งและเป็นเหตุผลง่าย ๆ ให้ทำสิ่งยาก ๆ ได้

ชอบมากครับ ให้ 8/10 คะแนน

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ official site ของหนังครับ http://www.samchukmovie.com/aboutfilm.php

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ในวันที่ "การไฟฟ้าไม่มานะเธอ" เหตุการณ์ After shock หลังกีฬาสี

หายไปสัปดาห์กว่า บล็อกไม่มีความเคลื่อนไหว เพราะเจอสถานการณ์ After Shock หลังกีฬาสีเสร็จสิ้น

ส่งผลให้เกิดหนังชีวิตเรื่องใหม่ "การไฟฟ้าไม่มานะเธอ"

เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ขอให้เป็นแค่หนึ่ง ครั้งในชีวิตก็พอแล้ว...อย่ามีอีกเลย

พอดีบ้านผมอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงการชุมนุม เลยได้รับผลกระทบบ้าง แม้จะัไม่มากเท่าพี่น้องชาวบ่อนไก่

แต่จากการที่หลังบ้านหันหลังให้การไฟฟ้าคลองเตย ทำให้รู้สึกว่าเหตุการณ์มันไม่ได้อยู่ห่างตัวเองเลย

วันที่เกิดเหตุจลาจล ที่ทำงานผมอยู่แถวเย็นอากาศ ก็เรียกว่าใกล้เคียงกับสถานที่ที่เกิดความวุ่นวายอย่างบ่อนไก่พอสมควร เพราะอีกนิดเดียวก็จะทะลุซอยงามดูพลีอยู่แล้ว วันนั้นพี่ที่บริษัทมาบอกว่า การไฟฟ้าถูกเผา ผมต้องโทรเช็คกับเพื่อนที่บ้านหลายคนให้แน่ใจว่าสถา่นการณ์เป็นยังไง

ปรากฏว่าตึกการไฟฟ้าข้างบ้านตรงริมถนน ถูกเผา ไฟกำลังไหม้อยู่


เหลือแต่ซาก ไหม้ทั้งคืนถึงเช้า


ซึ่งเพื่อนผู้หญิงที่อยู่แถวบ้านใกล้เรือนเคียงก็แบบ ไม่ไหวแล้ว ต้องปีนข้ามกำแพงหลบออกไปทางด้านหลัง ทางพระราม 3 บางคนก็กลับบ้านตจว.หรือไปนอนบ้านเพื่อน บางคนก็ไปไหนก่อนก็ได้ กลัวไม่ปลอดภัย

ผมเดินกลับบ้านมาถึงราว 5 โมงเย็นได้มาเห็นกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 20 คน จอดมอเตอร์ไซค์อยู่หน้า ธ.กสิกรไทยคลองเตย แล้วลงมารุมทุบตู้เอทีเอ็มราว 7-8 คน ทีเหลือก็จอดรถดู บางคนก็เข้าไปในธนาคาร ดูวุ่นวาย แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม

เห็นว่ามีคนเข้าไปถ่ายรูปก่อนหน้านั้น แล้วโดนไล่กระทืบมา...แล้วใครจะกล้า

ตอนแรกมีคนตั้งท่าจะเผา แต่มีคนนึงไปขอร้องว่า่อย่าทำเลย
บ้านชาวบ้านจะลำบากด้วย เลยได้รับความเมตตา โดนทุบอย่างเดียว



คืนนั้นต้องตัดสินใจว่าจะนอนค้างที่บ้านหรือไปหาที่นอนเอาดาบหน้าดี เพราะไฟฟ้าก็ดับ ดีที่น้ำประปายังไหลอยู่ สุดท้ายเพื่อนผู้ชายอีก 5-6 คนตกลงว่าจะนอนเฝ้าบ้านกัน ส่วนผม เพื่อความชัวร์เก็บเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคลงกระเป๋าไว้ก่อน เผื่อฉุกเฉินจะได้หนีทัน

เพื่อนคนอื่น ๆ ก็เตรียมพร้อม คอมพิวเตอร์ กีตาร์ ของส่วนตัว เสื้อผ้า ขนมากองชั้นล่างรอขน

อันนี้ตอนที่ผมเห็นยังมีกระถางต้นไม้คาอยู่ข้างใน


คืนนั้น รู้สึกคนอื่น ๆ จะไม่มีใครนอนกัน เอาเสื่้อมาปูหน้าบ้าน จุดยากันยุง จุดเทียน นอนเฝ้าซอย และยังมีคนในซอยจำนวนหนึ่งแวะเวียนมาคุยกัน เขาก็นอนไม่หลับเหมือนกัน ทั้งร้อนตัว ร้อนใจ เลยเหมือนกับช่วยเ้ฝ้าซอยกัน

ได้เห็นน้ำใจจากคนในซอย เจ๊ตู่เจ้าของร้านอาหารหน้าปากซอยอุตส่าห์ทำกับข้าวเลี้ยง บ้านตรงข้ามก็เอาข้าว กับข้าว น้ำ เทียนไข ไฟแช็กมาให้ กลัวว่าพวกผมจะไม่มีอะไรกินกัน เพราะตอนนั้นจะไปหาอะไรกินกันก็ไม่ได้แล้ว เหมือนอยู่ในแดนมิคสัญญี

นี่คือน้ำใจครับ แม้ในความมืดมิด ก็ยังมีแสงสว่างอยู่บ้าง

ส่วนผมตัดสินใจนอนดีกว่า เพราะต้องไปทำงานพรุ่งนี้เช้า บริษัทไม่ประกาศให้หยุด

แต่นอนก็แทบไม่หลับทั้งคืน นอนในห้องก็ร้อน พลิกไปพลิกมา ออกมานอนข้างนอก ยุงก็กัด

ราวตีสองได้ยินเสียงโวกเวกโวยวาย วิ่งลงมาดู อ้าวหายไปไหนกันหมด ซักพัก เพื่อนผู้ชายกับคนแถวบ้านเดินกลับมากัน 8-9 คน บอกว่ามีคนตะโกนว่า "นครหลวงไฟไหม้" เลยวิ่งไปจะไปช่วยดับไฟ นึกว่าธ.นครหลวงไทยตรงคลองเตย ที่ไหนได้ คนตะโกนเป็นลุงแก่ ๆ แกหมายถึง การไฟฟ้านครหลวงไฟไหม้

โธ่ ลุง มันไหม้ตั้งแต่บ่ายสามแล้ว เพิ่งรู้สึกตัวเหรอ

แม้ไม่ถูกเผา แต่ก็โดนทุบเช่นกัน


คงเพราะมันประทุและไฟโหมขึ้นมาอีก คืนนั้นไฟไหม้ทั้งคืน ไม่มีใครกล้ามาดับ ภายหลังถามคนที่การไฟฟ้า เขาบอกมีคนเข้ามาเผา ออกมาห้าม โดนชักปืนขู่ว่า "อย่ามาเสือก" เป็นใครก็ต้องถอย ไม่คุ้มกับชีวิต

สุดท้ายคืนนั้นก็ผ่านไปได้ ได้ยินเสียงแตกพล้งเพล้งทั้งคืน

เช้ามาผมก็ไม่ได้ไปทำงานจนได้ โทรไปลา เจ้านายก็เข้าใจและไม่นับเป็นวันลา

ตอนบ่าย ๆ ออกมาตรวจดูสถานการณ์หลังจากเริ่มสงบ เวทีผู้ชุมนุมตรงสามแยกคลองเตยก็ไม่มีแล้ว

โดยสรุป ตู้เอทีเอ็มเกือบทุกตู้ถูกทุบ บางตู้ก็ถูกกระชากหลุดออกมาทั้งยวง บางตู้มีก้อนหินก้อนเบ้อเริ่มเข้าไปยัดอยู่ข้างไหน อะไรที่เป็นกระจกแถวนั้นถูกทุบแตกเกือบหมด เซเว่นไม่ต้องพูดถึงพังเกลี้ยง ของหายหมด

อันนี้ตู้หน้าการไฟฟ้า ก้อนหินคาอยู่ข้างใน

ผลกระทบจาก After Shock

คือ เน็ตใช้ไม่ได้ราว 4-5 วัน ไม่มีเซเว่นให้ซื้อของ สนามแบดและบาสปิด ไม่มีให้เล่น สวนลุม ไม่รู้จะได้ไปวิ่งเมื่อไหร่ ร้านเช่าการ์ตูนเจ้าประจำที่บ่อนไก่เป็นไงบ้าง

ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดในสยามเมืองยิ้ม หวังว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายและดีขึ้นตามลำดับ อย่างผมไม่เจอกับตัวเต็ม ๆ แต่หลายคนอาจโดนเต็มที่ ธุรกิจเสียหาย ขาดทุน ถึงขั้นเจ๊งก็มีหลายราย

เห็นเซเว่น ผมก็คิดว่าถ้าเขาไม่มีประกัน ก็ไม่ใช่น้อย ๆ นะครับ บางคนอาจคิดว่าเซเว่นเป็นของ CP นั่นเป็นแค่แบรนด์และ contract แต่เจ้าของร้านก็คือคนทั่ว ๆ ไป ที่ไปซื้อแฟรนไชส์มา โดนไปขนาดนี้ เขาเสียหายเป็นล้าน ๆ บาท ทุกวันนี้ผมเห็นตรงสาขาฝั่งตรงข้ามพระหฤทัยยังไม่ขยับซ่อมแซมเลย แต่ธนาคารยังดีหน่อย เพราะเป็นบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ยังมีทุนหมุนเวียน และเงินในเอทีเอ็มส่วนใหญ่พังได้แต่เอาไปไม่ได้ เพราะเซฟแน่นหนา

เซเว่นนี้ดีหน่อยที่ปิดปรับปรุงก่อนหน้านั้นไม่นาน ของเลยไม่หาย แต่กระจกโดนทุบพังหมด


แต่ชีวิตก็ต้องก้าวหน้าต่อไป เชื่อว่าคนดีในสังคมยังมีอีกมากมาย ดูภาพได้จากกระทู้แนะนำของเฉลิมไทย

http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A9287047/A9287047.html

หวังว่าคนไทยจะรักกันมาก ๆ นะครับ เราจะได้กอดคอฝ่าวิกฤตกันได้

ส่วนเราชาว Blogger ก็กลับมาอัพบล็อกกันต่อไป

แม้จะผ่านประสบการณ์ที่ "การไฟฟ้าไม่มานะเธอ" แต่ของพังแล้วก็ซ่อมได้ แต่จิตใจคนเราถ้าปล่อยให้พัง จะซ่อมก็ยาก จะเยียวยาก็ยาวนาน อยากให้คนไทยรักษาใจให้ดีเสมอ อย่าให้จิตใจของเราขุ่นมัวจากเรื่องต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบนะครับ

แล้วเราจะมีความสุข และไม่ทำให้ผู้อื่นทุกข์ใจด้วย

บทความนี้ขอละเว้นการพูดถึงประเด็นทางการเมือง ขอเีพียงแค่แชร์ประสบการณ์ชีวิตเท่านั้น

* รูปถ่ายประกอบ ไม่ใช่ฝีมือผม มาจากกล้้องเพื่อนครับ *


สถานีรถไฟฟ้าคลองเตย

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Case 39 คดีปริศนาสยองขวัญ : แม้ไม่ย่ำแย่ แต่มาที่หลังเขา ต้องได้มากกว่านี้


รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง

ช่วงนี้มีหนังสยองขวัญที่ทยอยออกแผ่นมาหลายเรื่อง ทั้ง Triangle , Paranormal Activity , The Fourth Kind , A Perfect Getaway และล่า่สุดที่ผมได้ดูก็ Case 39 ถือว่าเป็นช่วงซัมเมอร์ของคอหนัง Horror หรือ Thriller อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ กัน

ในบรรดาเรื่องทั้งหมดที่กล่า่วถึงนั้น แต่ละเรื่องดูจะมีแนวทางเป็นของตัวเอง และมีบรรยากาศแปลก ๆ ใหม่ ๆ มานำเสนอ ไม่ก็มีพล็อตเรื่องสุดเจ๋ง ให้คนเอามาถกกันต่อหลังดูจบ อย่าง Triangle

ที่ดูจะอ่อนด้้อยกว่าชาวบ้านเขามากที่สุดก็คงเป็นผลงานการแสดงเรื่องล่าสุดของนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ Renee Zelviger จาก Case 39 นี่แหละ


หนังเริ่มต้นที่เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ครอบครัว เอมิลี่ (Renee Zelviger) ที่มีหน้าที่เข้าช่วยเหลือและดูแลเด็กที่มีปัญหาที่เกิดจากครอบครัว ซึ่งนับวันปัญหาเหล่านี้จะเกิดขึ้นมากกมาย จนงานล้นมือเธอ นับได้ 38 คดีแล้ว แต่ไม่วายเจ้านายใจดี ยังโอนคดีที่ 39 มาให้เธอดูแลอีกต่างหาก

ลิลิธ ซัลลิแวน (Jodelle Ferland) เด็กสาวน่าสงสาร มีรายงานว่าเธอกำลังมีปัญหาอันเกี่ยวเนื่องกับครอบครัว ซึ่งเอมิลี่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สุดท้ายความกลัวของเธอก็เป็นจริง เมื่อพ่อแม่ของลิลิธพยายามจะฆ่าเธอ เอมิลี่จึงรับเธอมาไว้ในการอุปการะชั่วคราวจนกว่าจะมีครอบครัวอุปถัมภ์มารับช่วงต่อไป

แต่หลังจากนั้นก็เริ่มเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับเธอและบางคนรอบตัว และยิ่งเวลาผ่านไป ก็ดูเหมือนจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เอมิลี่คิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่เธอเข้ามายุ่งกับ Case 39 นี้


Trailer หนังได้เปิดเผยให้เราได้เห็นเนื้อหาบางส่วนของหนังและทิศทางที่หนังเ้ดินทางไปแล้ว ดังนั้นสำหรับคอหนังที่ผ่านการดูหนังประเภทนี้มามากแล้ว หรือชอบคิดดักทางแนวหนัง คงไม่ต้องเดาให้ยากอะไรว่าสุดท้ายแล้วหนังจะเฉลยเนื้อหาออกมาอย่างไร


ถือว่าเป็นการพลิกบทบาทการแสดงครั้งหนึ่งของ Renee Zelviger แต่คงไม่ใช่ครั้งสำคัญ กับผลงานแนวสยองขวัญเรื่องแรกของเ้ธอ ซึ่งถ้าดูกัีนที่ภาพลักษณ์ภายนอกนั้น อาจจะดูไม่ค่อยเข้ากับเธอซักเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับบทบาทการแสดงที่ทำให้่ได้ใจผู้ชมไปกับสาว Bridget Jones หรือแม้แต่เรื่อง Nure Betty แต่ไม่ได้หมายความว่าการแสดงของเธอในเรื่องนี้เลวร้ายนะครับ คือถ้าคุณลบภาพสาวน้อยร่างอวบสวมชุดบันนี่ เกิร์ล ออกไปได้ การแสดงของเธอก็ถือว่าผ่าน

ก็คงเป็นเรื่องยากสำหรับนักแสดงบางคนที่ส่วนใหญ่จะได้รับบทประเภทหนึ่งเป็นประจำ แล้วมาพลิกบทบาทรับบทอีกประเภทหนึ่ง จะทำให้คนดูอินกับการแสดงของเธอได้ เหมือนที่ครั้งหนึ่ง Meg Ryan พยายามจะพลิกบทบาทของตัวเองมาแล้วใน In the Cut


แต่ที่พูดมานี่อย่าคิดว่าปัญหาของหนังเรื่องนี้คือนักแสดงนำอย่างนางเอกนะครับ แต่ปัีญหาคือหนังไม่มีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอให้กับผู้ชม สำหรับแฟนประจำของ Renee อาจจะสนุกที่ได้เห็นดาราคนโปรดลุกมาแสดงหนังฉีกแนวบ้าง หลังจากทำได้ดีในการรับบทดราม่าแล้วทำให้ได้รับรางวัลมาแล้วใน Cold Mountain แต่ความสนุกนั้นคงถูกหั่นหายไปซัก 7 ใน 10 ส่วนสำหรับคอหนังสยองขวัญที่รอคอยจะดูหนังที่มีเรื่องราวและวิธีการนำเสนอใหม่ ๆ หรือไม่อย่างน้อยก็ขอความสะใจก็ยังดี แล้วได้มาดูหนังเรื่องนี้


หนังดำเิินินเรื่องตามสูตรและปัญหาก็คือ ดันจบลงแบบตามสูตรอีกต่างหาก หลายคนที่ดูคงอดนึกถึงหนังเรื่องอื่น ๆ ที่มีพล็อตใกล้เคียงกันนี้ไม่ได้ ประเภท พ่อแม่ หรือพ่อแม่บุญธรรมเลี้ยงลูก แล้วดันมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น อันนั้นพัง ไอ้นี่ตาย วุ่นวาย สุดท้ายก็ชั่วร้าย

ผมว่า แม้ผมจะพยายามไม่สปอยล์ แต่ถ้าคุณได้ดูตัวอย่างหนังมาก่อน ก็คงเดาได้ไม่ยาก


ผู้กำกับ Christian Alvart มีหนังออกฉายสองเรื่องในปีเดียวกัน (2009) คือเรื่องนี้ Case 39 กับ Pandorum ดูเหมือนเรื่องแรกจะเป็นการทำคั่นเวลาไปจากบทหนังของคนอื่น แล้วอาจจะไปทุ่มเทให้กับเนื้อเรื่องของตัวเองในเรื่องหลัง ซึ่งลงมือเขียนบทเอง

ซึ่งวัดกันแล้ว Pandorum ดูจะมีอะไรแปลกใหม่และมีตอนเซอร์ไพร์ส และมีเรื่องให้จดจำมากกว่า และอาจจะมีเรื่องให้ถกกันหลังดูจบมากกว่า เพราะดูไม่รู้เรื่อง ซึ่งต้องโทษการตัดต่อ (ผมต้องมานั่งกรอดูซ้ำอีก 2-3 ครั้งถึงจะเข้าใจ)

แต่กับ Case 39 ดูแล้วก็จบเลย


นักแสดงสมทบที่พอจะมีชื่อเสียงบ้างในเรื่องนี้ก็อย่าง Badley Cooper ซึ่งรับบทแฟนหนุ่มของนางเอกที่ทำงานอยู่ในแวดวงเดียวกัน ก็มีเวลาขึ้นจอน้อยและไม่มีบทบาทที่ช่วยเนื้อหาแต่อย่างใด

การแสดงของดาราเด็กในเรื่องถือว่าทำได้ดี แต่ถ้าเอามาเทียบกับ Isabella Fuhman ในบทเอสเธอร์ จากเรื่อง Orphan แล้วล่ะก็ รา่ยหลังคงชนะขาดลอย


สำหรับ Case 39 ถ้านำมาเทียบกับหนังเนื้อหาใกล้เคียงกันที่เพิ่งฉายไปไม่นานแล้ว ด้านเนื้อหา The Orphanage มีอะไรแปลกใหม่มาให้กับผู้ชมมากกว่า ด้านความระทึกขวัญ Orphan ก็ให้ได้มากกว่า

เทียบกับ The Omen แน่นอนว่านั่นคลาสสิคกว่าอยู่แล้ว (เวอร์ชั่นแรกและภาคแรกเท่านั้น) เพราะเขามาเป็นเจ้าแรก ๆ

ดังนั้นแม้หนังจะไม่ย่ำแย่อะไร แต่ว่ามาที่หลังเขา คงต้องทำให้ได้มากกว่านี้

ให้คะแนนซัก 5.5/10 คะแนนครับ