ยินดีต้อนรับครับ

ยินดีต้อนรับครับ

ทักทาย

ผมลองจัดระเบียบบล็อกใหม่ดูนะ ครับ

โดยแบ่ง Group Blog ออกตามประเภทของหนังและนิยายนะครับ
เพราะคิดว่าหลายคนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบ ดูหนังทุกประเภท

เช่น บางคนชอบดูหนัง Romantic แต่ไม่ชอบดูหนังสยองขวัญเลย เพราะไม่ชอบ น่ากลัว

บางคนก็ชอบดูหนัง สยองขวัญเป็นชีวิตจิตใจ หนังชีวิตน่าเบื่อมาก ไม่ชอบดู

ผมเลยแบ่ง หมวดหมู่เป็นประเภทของหนัง (แต่ตอนนี้แต่ละหมวดยังน้อยอยู่) เผื่อว่าใครผ่านเข้ามาในบล็อกแล้วอยากจะอ่านรีวิวเก่า ๆ จะได้เลือกได้ตามประเภทของหนังตามที่ชอบได้

ที่แบ่งตั้งแต่ตอนนี้ แม้หนังที่เขียนยังไม่เยอะ เพราะคิดว่าต่อไปเกิดเยอะมาแบ่งที่หลังจะยิ่งเสียเวลาน่ะครับ

บางเรื่องก็แบ่งยากเหมือนกัน มันคาบเกี่ยวกัน แต่ผมจะพยายามยึดอารมณ์ของหนังเป็นหลักน่ะครับ

อ้อ แล้วก็ในบล็อกผมตั้งใจจะขึ้นคำเตือนในทุกบล็อกว่าตรงไหนคุยแบบไม่สปอยล์ ตรงไหนคุยแบบสปอยล์ เวลาใครมาอ่านจะได้อ่านแบบสบายใจได้ไม่ต้องกลัวถูกสปอยล์นะครับ

ถ้าใครแวะมาแล้วไม่รู้จะคอมเมนต์ อะไร ก็ฝากข้อความทิ้งไว้ที่ Shout Box ด้านข้างได้นะครับ


ขอบคุณ ทุกท่านที่แวะเวียนมาอ่านนะครับ ผมก็จะแวะเวียนไปหาท่านด้วยเช่นกัน ตามโอกาสและเวลา

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Prince of Persia : The Sands of Time ถ้ามีทรายแห่งกาลเวลาจริง คงต้องใช้กับเรื่องนี้ก่อนเลย

รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญของเรื่อง

หนัง Action-Adventure ที่สนุกที่สุดและดีที่สุดในชีวิตการดูหนังของผมยังคงเป็น Raiders of the Lost Ark ผลงานของสปีลเบิร์กเรื่องนั้นนั่นแหละครับ

สำหรับ Prince of Persia ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะดียอดเยี่ยมเท่ากับผลงานของสปีลเบิร์กเรื่องนั้น แต่ก็หวังว่าหนังจะตอบโจทย์ความสนุกสนาน ตื่นเต้น ฮา และอารมณ์กุ๊กกิ๊กหยิกกัดของพระเอกนางเอกของเรื่อง ซึ่งเป็นสเน่ห์ของหนังสไตล์นี้

อย่าง Indiana Jones กับ Marion Ravenwood หรือ Richard O'Connell กับ Evelyn Carnahan ใน The Mummy

น่าเสียดายเหมือนกันที่ประสบการณ์การไปดู Prince of Persia เรื่องนี้อาจไม่ถึงกับเสียดายเงิน แต่ก็ไม่รู้สึกเต็มที่ไปกับหนังซักเท่าไหร่ ยิ่งโดยเฉพาะต้องโดดบอลโลกไปดูหนังด้วยแล้ว อาจทำให้ผิดจากที่หวังมานิดหน่อย


เป็นหนึ่งในหนังที่สร้างจากเกมส์อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสำหรับคอเกมส์รุ่นเก่าหน่อย (หรือแม้แต่รุ่นใหม่ ๆ ก็ตาม) คงจะรู้จักเกมส์นี้เป็นอย่างดี เพราะในยุคเกมส์รุ่นเดียวกันแล้ว Prince of Persia เป็นเกมส์ที่มีจุดเด่นกว่าเกมส์อื่นก็ตรงรายละเอียดการเคลื่อนไหวของร่างกายตัวละครเนี่ยแหละ

เพราะขณะที่เกมส์ในยุคนั้นมีแค่เดิน วิ่ง กระโดด แต่ Prince of Persia มีทั้งเดิน วิ่ง กระโดด หมอบ เกาะขอบเหว กำแพง ปีนป่าย ซึ่งเป็นจุดเด่นให้เกมส์ยืนอายุมาถึงทุกวันนี้ได้

แปลกใจกว่าจะได้ขึ้นจอ ทำไมใช้เวลานานจัง จน Tomb Raider มาทีหลัง ยังมาแล้ว (2 ภาค) และก็ไปแล้ว



หนังเป็นผลงานกำกับของ Mike Newell และอำนวยการสร้างโดย Jerry Bruckheimer สองชื่อนี้ช่วยเรียกคนได้ในขั้นแรก หลังจากนั้นก็ว่ากันที่พลังของตัวหนังเองล้วน ๆ แล้วแต่ใครจะชอบ

เรื่องราวของเจ้าชายแห่งอาณาจักรเปอร์เซีย ที่ไม่ได้ได้มาโดยสายเลือดแต่กำเนิด แต่มาจากการแสดงความกล้าหาญให้ประจักษ์ (โดยบังเอิญ) ต่อหน้ากษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ทำให้ Dastan (Jake Gyllenhaal) ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าได้รับการอุปการะในฐานะโอรสคนหนึ่งของกษัตริย์ และได้เป็นหนึ่งในเจ้าชายแห่งเปอร์เซีย โดยนอกจากเขาแล้วยังมีบุตรแท้ ๆ อีก 2 คนคือ Tus และ Garsiv

และยังพ่วงด้วยนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง Ben Kingsley ที่มารับบท Nizam ลุงเทียมของแดสตัน

จากการตัดสินใจโดยพละการของ Tus กองทัพเปอร์เซียจึงได้บุกเมืองต้องห้ามและทำให้พระเอกได้ตกกระไดพลอยโจนมาจับคู่กับนางเอกของเรื่อง เจ้าหญิง Tamina (Gemma Arterton) จากเหตุการณ์พลิกผันที่ Dastanไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน

Dastan และ Tamina ต้องร่วมกันปกป้องกริชวิเศษที่มีพลังในการปลดปล่อย "ทรายแห่งกาลเวลา" (ตามชื่อเรื่องนั่นแหละ) เครื่องมือของเทพเจ้าที่ทำให้ผู้ที่ครอบครองมีอำนาจในการควบคุมเวลาได้

แล้วยังไงล่ะ...ก็แน่นอนพระเอกนางเอกก็ต้องมีหน้าที่ปกป้องโลกนี้ให้พ้นจากเงื้อมมือของผู้ร้ายของเรื่อง



สิ่งที่เป็นจุดด้อยของหนังเรื่องนี้คือ

1. ความกล้าหาญของพระเอกมันหน่อมแน้มไปหน่อย เกินกว่าจะคิดได้ว่ากษัตริย์จะรับเขามาเป็นโอรสคนหนึ่งได้ และแม้ว่าโตขึ้นหนังจะบอกว่า Dastan เป็นคนที่กล้าหาญ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นอย่างหนักแน่นซักเท่าไหร่


2. ตัวร้าย ดูออกง่ายไปหน่อย ถ้าหนังไม่เล่นประเด็นสร้างความไขว้เขวแล้วหันไปชกแบบหมัดตรงแทนเลยน่าจะดีกว่า เพราะพอเล่นสร้างประเด็น แล้วพอเฉลยออกมาก็ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นอยู่แล้ว เหมือนรู้ ๆ กันว่ายังไงก็ต้องมาประมาณนี้

3. หนังมาในสไตล์ของดิสนีย์มากเกินไป ปลอดภัยไว้ก่อน (Play safe) บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น รักษาน้ำใจของคนดู ถ้าจะมีใครต้องตาย ก็กลัวจะบอบช้ำเกินไป ทำให้บทสรุปของหนังไม่สร้างความทรงจำซักเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่หนังพาเรื่องราวมาไกลแล้ว

4. วินาทีที่เห็น Gemma Arterton ปรากฏตัวในมาดเจ้าหญิงผู้มีความหยิ่งทรนงและความมั่นใจในตัวเอง ผมนึกว่าอาจจะได้เห็นแคแรกเตอร์แบบ รพินทร์ ไพรวัลย์ กับ คุณหญิงหมอดาริน วราฤทธิ์ บนจอซะแล้ว

ช่วงแรกหนังทำให้มีความหวัง Gemma รับบทได้สมกับมาดของเจ้าหญิงผู้แบกรับหน้าที่สำคัญไว้ และก็ร้ายได้น่ารักน่าชัง แต่หลังจากนั้นสเน่ห์ของเธอก็ค่อย ๆ ลดระดับลงไปตามกาลเวลา

รวมทั้งการรับส่งบทของพระเอกและนางเอก ที่น่าจะสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้มากกว่านี้ แต่กลับทำได้แกน ๆ ไม่สุด ไม่ถึง ไม่โดน ซึ่งเป็นส่วนที่น่าเสียดายที่สุดของหนังเลย



5. ฉากแอคชั่นที่ผู้สร้างบอกว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปะการป้องกันตัว (เรียกอย่างนี้ได้ไหมหว่า) Parkour (หาดูได้จาก Youtube...เยอะมาก) นั้นก็ไม่ได้สร้างภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจและหวือหวาได้อย่างที่โฆษณาเอาไว้ จนไม่สามารถทำให้เรารู้สึกได้ว่านี่คือสิ่งใหม่ ไม่เคยขึ้นจอมาก่อน พูดง่าย ๆ ว่าธรรมดาไปหน่อย


ส่วนฉากต่อสู้แนวฟันดาบถือว่าเอาตัวรอดได้ในระดับที่ไม่ได้สร้างปรากฏการณ์แต่อย่างใด



ส่วนที่เป็นข้อดีของหนังคงหนีไม่พ้นงานโปรดักชั่นและเทคนิคการสร้าง ภาพมองจากที่สูงมุมกว้างให้ความรู้สึกได้สมจริง การถ่ายภาพทะเลทรายก็ได้ภาพที่สวยงาม

การแสดงของ Jake ในเรื่องนี้ได้แค่ผ่าน แต่ยังไม่สามารถทำให้ตัวละครตัวนี้มีลูกเล่นที่แพรวพราว ทั้งทักษะการต่อสู้และบุคคลิกที่แสดงออกมานั้น คงทำให้ตัวละครตัวนี้อยู่ในความทรงจำได้แค่ชั่วระยะหนึ่ง


สิ่งที่เป็นข้อดีของ Jake ถ้าจะมีใครที่รูปร่างหน้าตาเหมาะกับบทเจ้าชายเปอร์เซียมากที่สุดแล้วก็คงเขานี่แหละ (แต่ก็ไม่แน่ ถ้าเป็น Orlando Bloom อาจจะสู้ได้ก็ได้)

Gemma Arterton ได้รับบทเด่นในหนังแอคชั่นปีนี้ถึง 2 เรื่อง เห็นได้ชัดว่าสำหรับเรื่องนี้เธอทำได้ดีกว่า ซึ่งจริง ๆ แล้วเธอรับบทนี้ได้มีสเน่ห์ดี แต่ปัญหาคือบทภาพยนตร์ไม่ได้ส่งให้ตัวละครตัวนี้ไปถึงจุดสูงสุดได้ในระหว่างการดำเนินเรื่องราว

Ben Kingsley ในช่วงขาลงของชีวิต กับบทบาทในเรื่องนี้ ไม่ได้มีอะไรย่ำแย่ แต่ก็เช่นเดียวกันที่ไม่ได้เป็นบทที่มีอะไรให้จดจำซักเท่าไหร่


ในช่วงเวลาที่หนังแนวนี้หลังจากหมดเรื่อง The Mummy ไปแล้ว (อย่าไปนับ Tomb of the Dragon Emperorนะ) ก็ไม่มีหนังดี ๆ แนวนี้ออกมาเลย Prince of Persia ถือว่าคั่นเวลาได้อย่างเคอะเขิน หนังให้ความสนุกได้ในระดับหนึ่ง และอาจจะถูกใจคอหนังหลายคนที่ไม่มีหนังแนวนี้ให้ได้ดูเยอะนักในช่วงหลัง ๆ

แต่กับโปรเจกต์ทุนยักษ์ 200 ล้าน และเครดิตผู้สร้างอย่างนั้นแล้ว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนดูหนังส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเรื่องนี้ทำออกมายังไม่สมราคา

เป็นหนังประเภท "ดูจบแล้ว ก็แล้วกัน"

จากความหวังว่าจะเป็นหนังภาคต่อคุณภาพเรื่องใหม่ของดิสนีย์ แต่เมื่อเหลือบมองไปที่ boxoffice แล้วคงต้องบอกว่าหมดหวัง (สำหรับผู้สร้างคงผิดหวัง)

จริง ๆ แล้วถ้าเรื่องนี้ไม่ได้ฉายในช่วงซัมเมอร์ซึ่งเป็นฤดูฉายของหนังฟอร์มยักษ์ที่ทุกเรื่องมาพร้อมความคาดหวังจากคนดู โดยเฉพาะถ้าเป็นหนังแอคชั่นด้วยแล้ว ต้องมันส์สุด ๆ แล้วไปฉายในช่วงเวลาอื่นแทน

หนังเรื่องนี้ก็ยังถือว่ามีคุณภาพในระดับ 100 ล้านได้ไม่ยาก แต่จะให้เกิน 200 ล้าน อาจจะหืดจับสุด ๆ

นิยามของ Prince of Persia : The Sands of Time นั้นจึงออกมาว่าเป็นหนังที่ "ธรรมดาเกินไป" ดูก็ได้ไม่เสียดายเงิน พลาดไปรอแผ่นก็ไม่ได้เสียดาย

เสียดายก็แต่เจ้าหญิง Tamina เนี่ยแหละ คงต้องรออีกซัก 10 ปี จนลืม ๆ กันไปแล้ว ค่อยนำมาสร้างใหม่อีก


ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แล้ว Mike Newell แก้ไขไอ้โน่นนิดไอ้นี่หน่อย เกลาบทซักนิด หนังอาจออกมาเกินธรรมดาได้สมกับเรื่องมหัศจรรย์ในหนังแล้ว และรายได้คงไม่ออกมาแป้กแบบนี้

บางทีฮอลลีวู้ดก็อยากจะหวังพึ่งปาฏิหารย์ของ "ทรายแห่งกาลเวลา" บ้างเหมือนกัน

ผมให้คะแนนเรื่องนี้ 6.5/10 ครับ

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ5 กรกฎาคม 2553 เวลา 20:45

    ภาพเรื่องนี้สวยดีนะ
    ดูแล้วรู้ว่าหากเราย้อนเวลากลับไปได้จะไม่มีอะไรเสียหายเลย
    แต่เรื่องจริงเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้สิ
    เรื่องนี้ดูแล้วเลยไม่รู้สึกติดใจอะไรเลย
    ไม่เสียดาย ทุกอย่างจบอย่างโอเคไปหมด

    ตอบลบ