ยินดีต้อนรับครับ

ยินดีต้อนรับครับ

ทักทาย

ผมลองจัดระเบียบบล็อกใหม่ดูนะ ครับ

โดยแบ่ง Group Blog ออกตามประเภทของหนังและนิยายนะครับ
เพราะคิดว่าหลายคนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบ ดูหนังทุกประเภท

เช่น บางคนชอบดูหนัง Romantic แต่ไม่ชอบดูหนังสยองขวัญเลย เพราะไม่ชอบ น่ากลัว

บางคนก็ชอบดูหนัง สยองขวัญเป็นชีวิตจิตใจ หนังชีวิตน่าเบื่อมาก ไม่ชอบดู

ผมเลยแบ่ง หมวดหมู่เป็นประเภทของหนัง (แต่ตอนนี้แต่ละหมวดยังน้อยอยู่) เผื่อว่าใครผ่านเข้ามาในบล็อกแล้วอยากจะอ่านรีวิวเก่า ๆ จะได้เลือกได้ตามประเภทของหนังตามที่ชอบได้

ที่แบ่งตั้งแต่ตอนนี้ แม้หนังที่เขียนยังไม่เยอะ เพราะคิดว่าต่อไปเกิดเยอะมาแบ่งที่หลังจะยิ่งเสียเวลาน่ะครับ

บางเรื่องก็แบ่งยากเหมือนกัน มันคาบเกี่ยวกัน แต่ผมจะพยายามยึดอารมณ์ของหนังเป็นหลักน่ะครับ

อ้อ แล้วก็ในบล็อกผมตั้งใจจะขึ้นคำเตือนในทุกบล็อกว่าตรงไหนคุยแบบไม่สปอยล์ ตรงไหนคุยแบบสปอยล์ เวลาใครมาอ่านจะได้อ่านแบบสบายใจได้ไม่ต้องกลัวถูกสปอยล์นะครับ

ถ้าใครแวะมาแล้วไม่รู้จะคอมเมนต์ อะไร ก็ฝากข้อความทิ้งไว้ที่ Shout Box ด้านข้างได้นะครับ


ขอบคุณ ทุกท่านที่แวะเวียนมาอ่านนะครับ ผมก็จะแวะเวียนไปหาท่านด้วยเช่นกัน ตามโอกาสและเวลา

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

ไม้บรรทัดของยมทูต : ความตายก็สร้างความอบอุ่นได้ แม้วันที่ฝนพรำ


รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญครับ



หนังสือเล่มนี้ปกติถือว่าไม่ใช่แนวที่จะหามาอ่าน ถ้าไม่มีคนแนะนำจริง ๆ
เพราะปกติจะหมดค่าเสียหายไปกับแนวฆ่ากันตายซะมากกว่า (55)

พอดีรุ่นพี่ที่ JBook แนะนำมา เลยได้หยิบมาอ่านในวันว่าง ๆ สบาย ๆ

ด้วยความที่ไม่คาดหวังอะไรมาก เมื่ออ่านจบจึงประทับใจกับเล่มนี้มากเป็นพิเศษ
เพราะไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ได้อ่านหนังสือที่ให้บรรยากาศอบอุ่นแบบนี้

ซึ่งค้านกับประเด็นหลักและโลเกชั่นหลักในหนังสือเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ ยมทูต ความตาย (แน่นอนมีคนตาย) และวันฝนพรำ

ไม้บรรทัดของยมทูต เป็นผลงานของนักเขียนนามว่า อิซากะ โคทาโร เฉพาะเล่มนี้เคยคว้ารางวัลเรื่องสั้นของสมาคมนักเขียนนิยายสืบสวนของญี่ปุ่น

ขอคัดลอกคำโปรยจากหน้าปก และหลังปกมาให้อ่านเพื่อทราบเนื้อเรื่องคร่าวก่อนเลยแล้วกันนะครับ

(บนหน้าปก)
เรื่องราวของยมทูตหนุ่ม
ผู้ปรากฏตัวในวันฝนพรำ
เพื่อชี้ชะตาชีวิตมนุษย์
ผลงานแนวแฟนตาซีพร้อมไออุ่น
ที่ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว

อ้อ เวอร์ชั่นภาพยนตร์ได้ ทาเคชิ คาเนชิโร่มารับบทนี้ หลายคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี

(บนปกหลัง)
ผมชื่อชิบะ ถูกส่งลงมายังโลกเพื่อประเมินความตายของมนุษย์
แค่เข้าตีสนิทเป้าหมาย พบปะพูดคุยเล็กน้อยเพื่อเก็บข้อมูล
ก่อนตัดสินใจ "รับไว้" หรือ "ปล่อย" ภายในเวลาเจ็ดวัน
งานแสนง่ายดาย มีอิสระ แถมเหลือเวลาให้ยืนฟังเพลงในร้านซีดีโปรด
ส่วนเรื่องความตายของมนุษย์
ใครจะอยู่หรือสิ้นใจไม่มีความหมายสักนิด
เพราะสิ่งที่ยมทูตอย่างพวกผมทำ
...เป็นแค่หน้าที่

ครับ หนังสือแบ่งเรื่องราวเป็นเรื่องสั้น 6 ตอน แต่ละตอนแยกจากกัน แต่อาจมีบางตอนที่มีตัวละครที่ครอสกันอยู่บ้างเล็กน้อย
ตัวเอกของเรื่องคือยมทูต ผู้มีหน้าที่ลงมาประเมินมนุษย์เป้าหมายว่าจะให้ตายตามที่กำหนดไว้ หรือจะปล่อยให้รอด โดยดุลยพินิจทั้งหมดอยู่กับตัวยมทูตเอง

การตายที่เกิดขึ้นก็จะเป็นการตายประเภทที่ไม่ได้เกิดจากเจ็บป่วย สิ้นอายุขัย หรือเจตนาฆ่าตัวตาย แต่เกิดจากอุบัติเหตุหรือถูกฆ่า นี่เป็นเงื่อนไขหนึ่ง ที่หนังสือนำมาเล่นเรื่องราวให้มีความหลากหลายได้
และภายในเวลา 7 วันที่ยมทูตทำหน้าที่ประเมินนั้น เป้าหมายจะไม่ตายอย่างแน่นอน ถ้าลงความเห็นว่า "รับไว้" ก็จะตายในวันที่ 8 หรือถ้า "ปล่อย" ก็รอดไป จบเจ็ดวันก็ถือว่าเสร็จสิ้นหน้าที่

ชิบะคือ ชื่อที่ยมทูตใช้เรียกตัวเองในเรื่อง ทุก ๆ ครั้งที่ปฏิบัติงาน ชิบะจะใช้รูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน เพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายได้ง่าย บางครั้งจึงเป็นหนุ่มหล่อ หรือบางครั้งก็เป็นวัยกลางคน แตกต่างกันไป

มียมทูตที่ทำหน้าที่นี้หลายตน ในเรื่องนั้น บางครั้งบางคราว ก็ได้พบกันเองโดยบังเอิญในสถานที่ทั่วไป หรือพบกันเพราะเป้าหมายของตนนั้นพัวพันกับเป้าหมายอีกตนหนึ่ง

ในเรื่องทำให้เราได้เห็นว่ายมทูตเป็นพวกไม่อินังขังขอบกับความตายของคน ไม่ใช่ว่าเป็นพวกซาดิสท์ แต่สำหรับพวกเขาเหล่านั้นแล้วความตายไม่ได้มีความหมายอะไร งานเหล่านี้จึงถือเป็นงานน่าเบื่อสำหรับพวกเขา

แต่ความสุขของพวกเขาอย่างหนึ่งคือการได้ฟังเพลง หลายครั้งที่ยมทูตด้วยกันเองจะเจอกัน ตามร้านซีดี โดยเฉพาะโซนที่มีบริการทดลองฟังเพลง

เป็นสิ่งที่ผู้เขียนสร้างขึ้่นเพื่อให้แคแรคเตอร์ของเรื่องมีความขัดแย้งในตัวเอง เพื่อเสริมทำใหตัวละครมีมิติมากขึ้น

การเล่าเรื่องจะเล่าผ่านมุมมองของตัวชิบะ โดยการใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่ง (คือ ผม) ทำให้เรื่องราวยิ่งมีสเน่ห์เพิ่มขึ้น เพราะมุมมองของยมทูตนั้นมองโลกและชีวิตมนุษย์แตกต่างจากคนธรรมดา เขามองทุกอย่างอย่างซื่อตรง หลายครั้งเขาก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่มนุษย์ทำ เหมือนเด็กที่มองโลกของผู้ใหญ่ ทำให้ผู้อ่านต้องหลงรักตัวละครตัวนี้

เรื่องราวจะทำให้เราได้เห็นมุมมองเรื่องความตายในอีกอารมณ์หนึ่งผ่านมุมมองของยมทูตผู้ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร ทำหน้าที่ของตัวเองไป เรื่อย ๆ แต่จากการทำงานในช่วงเวลา 7 วัน เขาได้เรียนรู้ประสบการณ์ของมนุษย์ และเห็นวิถีชีวิต แนวคิดในการตัดสินใจตัวละคร ซึ่งนั่นสร้างความสนใจให้กับตัวเขา มากกว่าประเด็นที่ว่าจะ "รับไว้" หรือ "ปล่อย" ไป

ถ้าอิคิงามิ คือแง่มุมของความตายแบบดิ้นรนกระเสือกกระสน ไขว่คว้าโอกาสครั้งสุดท้ายของชีวิต หรือสะสางบางเรื่อง และสร้างความรู้สึกที่บางครั้งก็รันทด แต่งดงาม บางครั้งก็หดหู่และเศร้าสร้อย

ไม้บรรทัดของยมทูต ให้อารมณ์ที่แตกต่างไป ในวันที่ฝนตกพรำ (ทุกครั้งที่ชิบะมาปฏิบัติงานจะมีแต่วันที่ฝนตกอยู่เสมอ หรือไม่ก็หิมะ ชิบะจะแทบไม่เคยเห็นวันที่ฟ้าใสเลย ซึ่งเป็นความบังเอิญที่เป็นกิมมิกของเรื่อง) คนหนึ่งคนไม่ทราบว่าตัวเองอาจกำลังจะตายใน 7 วัน แต่ละคนมีวิถีชีวิตให้ดำเนินไปตามครรลองของตัวเอง ชิบะเป็นเพียงผู้สังเกตุการณ์ และเป็นตัวแทนถ่ายทอดให้เราได้เห็นแง่มุมของชีวิตแต่ละคน

ซึ่งอย่างที่บอกให้บรรยากาศที่อบอุ่นแก่ผู้อ่าน เหมือนความตายของตัวละครเป็นเพียงแค่ฉากหนึ่งในชีวิตเท่านั้น แม้อาจจะมีบางตัวละครที่เรารู้สึกเสียดายไปกับเขาบ้่าง ว่าไม่น่าเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเลยก็ตาม

เรื่องราวในเรื่องทั้ง 6 ตอนนั้น ผู้เขียนมีประเด็น ลูกเล่นและกลวิธีที่แตกต่างกันไป มีจุดหักมุมเล็กน้อยเกิดขึ้นในบางเรื่อง ทำให้เนื้อเรื่องมีความหลากหลาย ไม่เป็นสูตรรสำเร็จจำเจ

สิ่งสำคัญของเรื่องอาจไม่ได้อยู่ที่ว่าตัวละครจะตายหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าชีวิตช่วงสุดท้ายของเขาเป็นอย่างไร สิ่งที่เป็นความตั้งใจของเขานั้นสำเร็จไหม (นั่นอยู่บนเงื่อนไขที่แต่ละคนไม่ทราบว่าตัวเองต้องตาย)

ตอนที่ 1 ความเที่ยงตรงของยมทูตนั้ัน เป็นตอนแรกที่เปิดตัวและแนะนำให้เรารู้จักชิบะ ยมทูตตัวเอกของเรา เรื่องราวมาในแนวดราม่าที่มีจุดหักมุมเล็กน้อย เราจะได้ติดตามชีวิตของคนธรรมดาคนหนึ่งที่อาจค้นพบเส้นทางชีวิตที่จะเปลี่ยนชีิวิตของตัวเธอไปตลอดกาล ผ่านเรื่องราวแปลกประหลาดไม่คาดคิด

ตอนที่ 2 ยมทูตกับฟุจิตะ ตอนนี้จะมีกิมมิกแทรกเข้ามาคือกฏเกณฑ์การตาย ซึ่งมีผลต่อการดำเนินเรื่องที่ทำให้เกิดการเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ ได้ในช่วงท้าย เราจะได้เห็นถึงชีวิตอีกแง่มุมหนึ่งของคนประเภทหนึ่งซึ่งเราอาจไม่เคยมีโอกาสสัมผัสชีวิตของพวกเขาเลย คือ ยากูซ่าที่ชื่่อฟูจิตะ มนุษย์ที่ดำรงชีวิตด้วยการบริโภคศักดิ์ศรีเป็นอาหาร

ตอนที่ 3 ความตายกลางพายุหิมะ สำหรับตอนนี้มาในตอนสไตล์อกาธา คริสตี้ เป็นเหตุฆาตกรรมในสถานที่ปิดตาย ซึ่งคนชอบแนวสืบสวนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจะสนุกกับคดีสืบสวนด้วยฝีมือของยมทูต เพราะมีตัวแปรที่ไม่เคยปรากฏบนโลกนิยายแนวสืบสวนที่ไหนมาก่อนเลย คือ ยมทูต นั่นเอง

ตอนที่ 4 ความรักกับยมทูต แน่นอนยมทูตไม่มีความรัก คงเป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับเขาในการติดตามชีวิตช่วงสุดท้ายของคนที่มีความรัก เรื่องนี้มาในอีกสไตล์ คือมีอารมณ์ Romantic Drama อ่านแล้วซาบซึ้งกินใจ

ตอนที่ 5 บนเส้นทางความตาย เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มที่เข้าใจแม่ตัวเองผิด ทำให้พลั้งมือฆ่าคนตาย และอยู่ในระหว่างหลบหนี ซึ่งชิบะก็จัดการให้ตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์นี้จนได้ หนังสือดำเนินเรื่องแนว Road trip คือตัวละครที่ได้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตในประเด็นที่เขาขาดอยู่ ผ่านการเดินทาง แต่เพียงว่านี่อาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิต

ตอนที่ 6 เป็นตอนปิดท้าย ราบเรียบแต่สวยงาม มีกิมมิกในเรื่องที่อ่านแล้วทำให้อมยิ้ม และประทับใจ อ่านตอนนี้จบทำให้ผมนึกถึงคำพูดของดัมเบิลดอร์ใน Harry Potter ที่ว่า "สำหรับจิตใจที่จัดระเบียบดีแล้ว ความตายก็เป็นการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งเท่านั้น"

ในโลกของภาพยนตร์และวรรณกรรมนั้น เราจะพบว่าเรื่องราวเกี่ยวกับยมทูตและความตายถูกนำมาใช้ในการสรรค์สร้างเรื่องราวที่แตกต่างกัน

อย่างที่เรารู้จักกันดี ก็เช่น Meet Joe Black หรืออย่างการ์ตูนเรื่อง Death Note เป็นต้น
แต่อย่างที่บอก หนังสือเล่มนี้ให้บรรยากาศความรู้สึกของตายที่แตกต่างไป ความตายก็สร้างความรู้สึกอบอุ่นได้ แม้ในวันที่ฝนพรำ และยมทูตอยู่กับเรา

เป็นหนังสือดีเกินคาดเล่มหนึ่ง เหมาะจะอ่านในวันเบา ๆ หรือจะวันฝนพรำก็ได้บรรยากาศ (วันหิมะตก ถ้าอยู่ประเทศไทยคงเป็นเรื่องยาก)

อ่านจบแล้วก็ต้องบอกตัวเองว่าชีวิตเราอาจสั้นกว่าที่เราคิด คำพูดยอดฮิตประจำวันนี้คือ "จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด"
ผมให้คะแนนเรื่องนี้ 8.5/10 ครับ

เกร็ดความรู้อย่างหนึ่ง คือ ในเรื่องจะบอกให้เราทราบว่ายมทูตส่วนใหญ่จะชอบฟังเพลง ส่วนพวกทูตสวรรค์ (จำไม่ได้ว่าใช้คำว่าอะไร) จะชอบอยู่กันตามห้องสมุด

อ้างอิงจากความเชื่อของคริสเตียน ลูซิเฟอร์ คือ 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดบนนสวรรค์ (ที่เหลือคือ กาเบรียล ทูตสวรรค์ผู้มีหน้าที่นำข่าวสาร และ มิคาเอล ทูตสวรรค์ผู้มีหน้าที่ทำสงคราม) ได้กบฏต่อพระเจ้าและถูกขับออกจากสวรรค์กลายร่างมาเป็นซาตาน และมีลูกน้องจำนวน 1 ใน 3 ติดตามมา

โดยลูซิเฟอร์ก่อนหน้านั้น เป็นทูตสวรรค์แห่งเสียงเพลง รับหน้าที่นำนมัสการบนสวรรค์ อาจเป็นเกร็ดเล็กน้อยที่ผู้เขียน นำมาปรับมุมมองใหม่และสร้างแคแรกเตอร์ให้ชอบเสียงเพลงก็เป็นได้

ส่วนทูตสวรรค์ (Angel) หรือที่บางทีคนไทยแปลว่าเทวดานั้น ไม่แน่ใจว่าผู้เขียนได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนต์เรื่อง City of Angel ที่ Nicolas Cage เล่นเป็นทูตสวรรค์หรือเปล่า เพราะเรื่องนั้นทูตสวรรค์ก็ชอบอ่านหนังสือ อยู่ตามห้องสมุดเหมือนกัน

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ11 สิงหาคม 2553 เวลา 08:49

    เรื่องให้คะแนนช่างมันเถอะ...
    เอาเป็นว่าเป็นหนังที่ดีเรื่องนึงนั่นแหละ...
    ส่วนใครจะชอบหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับตัวคน ๆ นั้นเองนั่นแหละ


    BY : ฮิสึกายะ ซาคุยะ

    ตอบลบ