ยินดีต้อนรับครับ

ยินดีต้อนรับครับ

ทักทาย

ผมลองจัดระเบียบบล็อกใหม่ดูนะ ครับ

โดยแบ่ง Group Blog ออกตามประเภทของหนังและนิยายนะครับ
เพราะคิดว่าหลายคนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบ ดูหนังทุกประเภท

เช่น บางคนชอบดูหนัง Romantic แต่ไม่ชอบดูหนังสยองขวัญเลย เพราะไม่ชอบ น่ากลัว

บางคนก็ชอบดูหนัง สยองขวัญเป็นชีวิตจิตใจ หนังชีวิตน่าเบื่อมาก ไม่ชอบดู

ผมเลยแบ่ง หมวดหมู่เป็นประเภทของหนัง (แต่ตอนนี้แต่ละหมวดยังน้อยอยู่) เผื่อว่าใครผ่านเข้ามาในบล็อกแล้วอยากจะอ่านรีวิวเก่า ๆ จะได้เลือกได้ตามประเภทของหนังตามที่ชอบได้

ที่แบ่งตั้งแต่ตอนนี้ แม้หนังที่เขียนยังไม่เยอะ เพราะคิดว่าต่อไปเกิดเยอะมาแบ่งที่หลังจะยิ่งเสียเวลาน่ะครับ

บางเรื่องก็แบ่งยากเหมือนกัน มันคาบเกี่ยวกัน แต่ผมจะพยายามยึดอารมณ์ของหนังเป็นหลักน่ะครับ

อ้อ แล้วก็ในบล็อกผมตั้งใจจะขึ้นคำเตือนในทุกบล็อกว่าตรงไหนคุยแบบไม่สปอยล์ ตรงไหนคุยแบบสปอยล์ เวลาใครมาอ่านจะได้อ่านแบบสบายใจได้ไม่ต้องกลัวถูกสปอยล์นะครับ

ถ้าใครแวะมาแล้วไม่รู้จะคอมเมนต์ อะไร ก็ฝากข้อความทิ้งไว้ที่ Shout Box ด้านข้างได้นะครับ


ขอบคุณ ทุกท่านที่แวะเวียนมาอ่านนะครับ ผมก็จะแวะเวียนไปหาท่านด้วยเช่นกัน ตามโอกาสและเวลา

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

October Sonata รักที่รอคอย : หนังคุณภาพ คนที่อินย่อมซาบซึ้ง แต่อาจไม่ถึงในบางประเด็น


รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญครับ

น่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้ทำรายได้ไปน้อยนิดตอนฉายในโรง รู้สึกจะไม่เกิน 10 ล้าน
น่าเสียดายที่คนดูหนังไทยหลายคน อยากให้วงการหนังไทยผลิตหนังดี มีบทที่แข็งแรงออกมา แต่พอถึงเวลานั้นหนังที่ทำรายได้ก็ยังเป็นหนังตลก ที่เน้นมุกหยาบคายอยู่ดี

ผมไม่ได้่ต่อต้านหนังตลกแต่อย่างใด เพียงแต่เสียดายแทนหนังน้ำดีที่ถูกมองข้าม (ตัวผมก็ไม่ได้ไปดูในโรงเหมือนกัน เพราะไม่ค่อยมีเวลา ช่วงหลัง ๆ มาก็ไม่ได้ไปดูหนังโรงนานแล้วเหมือนกัน อาศัยเก็บแผ่นเอา)

ผมดูหนังเรื่องนี้จบแล้วสัมผัสถึงกลิ่นอายของหนังที่มีส่วนคล้ายกับเรื่อง the Classic หนังรักเกาหลีในดวงใจของใครหลายคน

เปล่า ผมไม่ได้บอกว่าหนังก็อปปี้ แต่หนังอาจได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องนั้น ซึ่งสำหรับผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วถ้าจะเป็นเช่นนั้น เพราะหนังก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง มีแนวทางเป็นของตัวเอง และมีประเด็นที่หนังหยิบยกมาพูดเป็นของตัวเอง


October Sonata เป็นหนัง Romantic Drama ดำเนินเรื่องราวเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2513 ซึ่งเป็นวันที่พระเอกมิตร ชัยบัญชาเสียชีวิตจากการตกเฮลิคอปเตอร์ (งามศพของมิตร ชัยบัญชา ถือเป็นงานศพของบุคคลธรรมดาที่มีผู้มาร่วมงานมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์) หลังจากนั้นหนังก็ดำเนินเรื่องโดยมีฉากหลังเป็นเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมืองไทยในยุคสมัยนั้นเรื่อยมา เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลา และ 6 ตุลา เป็นต้น

แสงจันทร์ (รับบทโดยคุณก้อย รัชวิน) สาวโรงงานนางเอกของเรื่อง ได้พบกับ รวี (รับบทโดยคุณโป๊บ ธนวรรธน์) ซึ่งแปลว่าดวงอาทิตย์ (พระเอกบอกให้นางเอกทราบ และหนังให้นัยยะแก่เราเมื่อนางเอกบอกว่า ชื่อเขาตรงข้ามกับเธอที่หมายถึงดวงจันทร์) หนุ่มนักศึกษามีอุดมการณ์ที่กำลังจะไปศึกษาต่อเมืองนอกโดยบังเอิญ เขาและเธอได้ร่วมเดินทางและได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสั้น ๆ แค่คืนเดียวที่บังกาโลหมายเลข 11 โรงแรมแสนมุก โดยแม้ไม่มีความสัมพันธ์ทางกายกัน แต่เขาและเธอมีสัมพันธ์ทางใจต่อกันและกัน

แต่เมื่อวิถีชีวิตถูกกำหนดว่าต้องจำจากกัน รวีได้นัดหมายกับแสงจันทร์ว่าในวันที่ 8 ตุลาคมที่นี่เราจะกลับมาพบกันใหม่
แต่บางทีชีวิตคนเราก็เล่นตลก สิ่งที่วาดหวังไว้ บางครั้งก็ไม่สมใจหวัง

ลิ้ม (รับบทโดยคุณบอยพิษณุ) คือชายหนุ่มเชื้อสายจีนที่เข้ามาในชีวิตของแสงจันทร์ เขามอบความรักและความปรารถนาดีให้แสงจันทร์ และหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับแสงจันทร์ แต่นับจากวันที่ 8 ตุลานั้นเป็นต้นมา ที่ว่างในหัวใจของแสงจันทร์ก็ถูกแทนที่ด้วยรวี ชายหนุ่มที่เป็นรักแรกพบ และแรงบันดาลใจในการดำเนินชีิวิตของเธอ เธอไม่อาจตัดใจจากเขาได้ และเฝ้ารอคอยเขาด้วยความหวังว่าซักวันหนึ่ง.....

แต่จันทราซึ่งฉายแสงในเวลากลางคืน ก็ไม่อาจยืนเคียงข้างสุริยันในวันฟ้ากระจ่าง

ผมคิดว่า คำจำกัดความของโปสเตอร์ดารานำทั้งสามแบบให้ความหมายที่ครอบคลุมและลงตัวดีนะครับ

คนหนึ่งเฝ้าฝัน...คนหนึ่งเฝ้ารอ...อีกคนหนึ่งเฝ้ารัก....


หนังสร้างให้แสงจันทร์เป็นตัวละครที่มีภูมิหลัง ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง ต้องใช้ชีวิตตกระกำลำบากอยู่กับป้าที่ไม่ได้รักเธอ พระเอกมิตร ชัยบัญชาอาจคือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างเดียวของเธอ ผมจินตนาการว่าความสุขของเธอคือการได้ดูหนังของพระเอกที่เธอชื่นชอบแสดง

สุดท้ายสิ่งยึดเหนี่ยวนั้นก็หลุดลอยไปด้วยอุบัติเหตุไม่คาดคิดของมิตร ชัยบัญชา
แสงจันทร์เป็นคนช่างคิด ช่างฝัน เธออาจเป็นคนที่มีโลกในจินตนาการในแบบของเธอ เพราะโลกความเป็นจริงของเธอนั้นมันไม่น่ารื่นรมย์

แต่แม้เธอเป็นคนช่างคิดช่างฝัน แต่ความคิดของเธอก็อยู่ในโลกแคบ เพราะความที่เป็นคนขาดการศึกษา ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาของเธอที่มีต่อระวีในช่วงต้นเรื่อง

ต่อเมื่อเธอได้พบกับรวี ชายหนุ่มที่แสนดีและมีอุดมการณ์ เขาได้ทำให้เธอได้มองเห็นโลกใหม่ และได้เติมเต็มชีวิตส่วนที่ขาดหายให้เธอ ด้วยความที่มีจุดร่วมจากพื้นฐานชีวิตคล้าย ๆ กัน

ในค่ำคืนสั้น ๆ คืนนั้น บทประพันธ์ "สงครามแห่งชีวิต" จากปลายปากกาของศรีบูรพา (ซึ่งคุณสมเกียรติ์ วิทุรานิช ผู้กำกับ ได้บอกไว้ว่าเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างหนังเรื่องนี้) ที่รวีได้อ่านให้แสงจันทร์ฟัง รวมกับความรักที่เธอมอบให้ชายหนุ่ม เป็นแรงผลักดันให้เธอมีชีวิตที่มีเป้าหมายกว่าที่ผ่านมา



คุณก้อยแสดงหนังเรื่องนี้ได้ดีในบทของสาวซื่อ ไร้เดียงสาที่อ่อนแต่โลก และบูชาในรักแท้ แต่ในส่วนของบทสาวโรงงาน เธอยังไม่อาจทำให้คนดูอย่างผมเชื่อได้สนิทใจ อาจเพราะคุณก้อยมีภาพลักษณ์ที่ดูดีเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเธอเป็นสาวโรงงานที่ตกระกำลำบากและอยู่กับผู้ปกครองใจร้าย

ทำให้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจในตัวละครในแง่มุมนี้ถูกลดทอนลงไป แต่เราจะไปเห็นใจเธอจากการยึดมั่นในความรักที่มีต่อรวีซะมากกว่า

ส่วนพระเอกของเรา คุณโป๊บ สำหรับพระเอกหน้าใหม่ของวงการถือว่าสอบผ่านในบทที่ไม่ต้องแสดงออกทางอารมณ์อะไรมากนัก นอกจากเป็นผู้ชายแสนดี ที่ทำให้ผู้หญิงประทับใจ (แต่หน้าตาก็มีส่วนสำคัญ ถ้าหน้าตาแย่ มาขอจูงมือ หรือทายาใส่เท้า หรือนอนค้างคืนโรงแรมเดียวกัน ผู้หญิงที่ไหนจะมายอม...อนิจจา โลกเราช่างไร้ความยุติธรรมสำหรับผู้ชาย) กับทำหน้าซึม ๆ เศร้า อีกประมาณ 60 เปอร์เซนต์ของเรื่อง (ไม่ได้ประชด)

แต่คนที่ต้องได้รับคำชม และก็ได้มาแล้วจากหลายคนที่ดูหนังเรื่องนี้ คือ คุณบอยพิษณุ ในบทเฮียลิ้ม หนุ่มเชื้อสายจีนที่เทใจให้แสงจันทร์ตั้งแต่ต้นจนจบ

ลิ้มเป็นตัวละครที่ยืนอยู่บนโลกที่สุดแล้วล่ะครับ เขารักผู้หญิงที่เขาหลงรัก แต่ชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป แม้ในท้ายที่สุด เขาเริ่มยอมรับได้ว่าเธอคงไม่รักเขาตอบ เขาก็ยินดีทำให้หญิงที่เขารักมีความสุขได้ ไม่ได้ทำตัวเป็นตัวอิจฉา ทั้งหมดในชีิวิตเขาก็แค่ต้องการสร้างครอบครัว สร้างฐานะและครองรักกับคนที่เขามอบหัวใจให้เท่านั้น แต่ชีวิตคนเราบางทีก็เหมือนนิยาย รักเขามากมาย แต่เขากลับรอคอยคนที่ไร้ตัวตน

เป็นคนนอกสายตามันเจ็บปวดอย่างนี้นี่เอง

ฉากที่เฮียลิ้มเอาซิปมาให้แสงจันทร์ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ในความใสซื่อบริสุทธิ์ของเขา การแสดงออกของคุณบอยเป็นธรรมชาติมาก ๆ แม้บทจะกำหนดให้สำเนียงการพูดเป็นแบบคนไทยเชื้อสายจีน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ดูตลกเหมือนอย่างหนังตลกไทยบางเรื่องเลย

กลับทำให้เป็นคำพูดที่ฟังแล้วใสซื่อ เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

โดยเฉพาะช่วงที่ต้องแสดงอารมณ์ กับประโยคสำคัญของเฮียลิ้มในเรื่องที่พูดว่า "ผู้ชายคนนี้มันมีตัวตน มันมีความรู้สึก มันรักแสงจันทร์ ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี และจะดูแลให้ดีด้วย" สำเนียงจีนของเฮียลิ้มก็ถูกบอยสื่อสารออกมาอย่างมีพลัง คนดูคงไม่อาจจะละเลยความรู้สึกของเขาไปได้ (แต่แสงจันทร์ใจแข็งและละเลย ด้วยประโยคประมาณว่า คุณดีเกินไป) และเห็นใจตัวละครตัวนี้แน่ ๆ

เอาไปเลย 10 กระโหลก สมกับรางวัลที่ได้มา

หนังแบ่งคนดูออกเป็นสองพวกด้วยกัน คือพวกที่รู้สึกว่าเรื่องราวความรักนี้ขาดความสมเหตุสมผล ทำให้ยากจะอินไปกับเรื่องราว แต่โดยรวมก็ถือว่าโอเค

กับพวกที่มีประสบการณ์ตรง หรือคนที่เฝ้าหาและรอคอยรักแท้ในชีวิตจริง คนกลุ่มนี้จะเชื่ออย่างไม่ตั้งข้อสงสัยใด ๆ และประทับใจกับหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่และเต็มใจ และอาจเสียน้ำตาให้กับบทสรุปของเรื่องราวในตอนท้ายได้

ยากที่จะมีพวกที่สามที่บอกว่า หนังห่วย แย่ ไม่ได้เรื่อง หรือถ้ามีก็ถือว่าใจร้ายไม่ใช่น้อย

เพราะแม้ตัวหนังเองจะมีจุดที่ตั้งใจจนเกินไป ขาดความสมเหตุสมผลอยู่บ้างเช่น
1) ง่ายไปไหมที่ตอบรับคำเชิญให้ร่วมเดินทางของคนที่เจอกันครั้งแรก (หรือเพราะเขาหล่อ)
2) ทำไมไม่ใส่รองเท้าก่อนวิ่ง เท้าเจ็บไม่ใช่เหรอ (อ๋อ เพราะถอดรองเท้าวิ่งมันได้ฟีลลิ่งกว่า)
3) บังกาโลวิวสวยขนาดนี้ เช่าเหมาปีเหรอ เห็นว่างตลอด
4) .... นึกอะไรออกอีกบ้างครับ

และมีคำพูดที่ประดิษฐ์ประดอยอยู่บ้าง

แต่หนังก็มีความดีงามในตัวอยู่ไม่ใช่น้อย เช่น

การสร้างเงื่อนไขการพลัดพรากของตัวเอก ก็ถือเป็นการเล่นตลกร้ายกับชีวิตจริง (ในหนังนะครับ) ที่น่าพึงพอใจ
การจับเอาเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มาสร้างเสริมเป็นประเด็นในหนังได้อย่างลงตัว แม้จะมีสิ่งที่ดูไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง เช่น มิตร ชัยบัญชาตายวันที่ 8 ตุลาคม 2513 ตายปุ๊บจัดงานศพปั๊บในวันนั้นเลยเหรอ (อันนี้ผมไม่รู้แฮะ ไม่มีข้อมูลและเกิดไม่ทัน)

การใช้กิมมิกในการสร้างสีสันให้กับหนัง เช่น รอยสลัก หิ่งห้อย การเปลี่ยนชื่อของนางเอก เป็นต้น

นอกจากนี้แล้วการสร้างโลเกชั่นย้อนยุคแบบหนังพีเรียดก็ทำออกมาได้ดี จนผมคิดว่างานกำกับศิลป์น่าจะเป็นตัวเต็งของหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

การถ่ายภาพก็ออกมางดงามสมกับเป็นหนังโรแมนติก

และถ้าการแสดงของนักแสดงหลักจะไม่อาจทำให้คุณพอใจได้ ผมว่าเฮียลิ้มน่าจะช่วยคุณได้นะครับ

สำหรับผมแล้วหนังถือว่ามีองค์ประกอบที่ลงตัว ทั้งบทภาพยนตร์ การถ่ายทำ การแสดง การตัดต่อ หรือเสียงประกอบ เพียงแต่เมื่อหนังเลือกจะพาอารมณ์คนดูไปถึงจุดที่ต้องการ หนังกลับดึงอารมณ์คนดูไปได้ไม่สุด ถ้าหนังจะใส่ช่วงเวลาที่ตัวละครได้ทอดอารมณ์สลับกับการดำเนินเรื่องราวไปตามเนื้อหาบ้าง อาจจะทำให้อินได้มากกว่านี้

หลายคนที่ดูอาจจะรู้สึกอึดอัดไปกับนิสัยและการกระทำของนางเอกที่ดูเหมือนโลเล เฝ้ารอคอยรักที่ดูเหมือนไม่มีตัวตน กับคนที่มีตัวตนและแสนดีอย่างเฮียลิ้มกลับไม่รักเขา

ผมอยากบอกว่าถ้าคุณรู้สึกหงุดหงิดกับนางเอก แสดงว่าหนังเรื่องนี้สร้างได้เข้าถึงคุณแล้วล่ะครับ และการแสดงของตัวละครก็ทำให้คุณเชื่อในเรื่องราวที่ผู้กำกับต้องการเสนอจริง ๆ

เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง มีคนแบบนี้อยู่เยอะเลยครับ เพียงแต่เราอาจไม่เข้าใจเขา เพราะเราไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นเท่านั้นเอง

ในขณะที่ลิ้มยืนอยู่บนโลก แสงจันทร์เป็นมนุษย์ที่ยืนอยู่บนดวงจันทร์ เฝ้าฝัน เฝ้ารอที่จะได้พบชายคนรัก แต่ดวงจันทร์ไม่เต็มดวงในทุกวัน ชีิวิตเธออยู่ในคืนเดือนมืดและจันทร์แรมซะเป็นส่วนใหญ่

รวี ชายหนุ่มแห่งดวงอาทิตย์ มากด้วยความคิดและอุดมการณ์ เปล่งแสงเจิดจ้า เป็นความหวังของดวงจันทร์ แต่ด้วยวิถีชีวิตที่เขาเลือกเดิน วงโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จึงประสานกันได้แค่ชั่วคราวในยามอัสดงและรุ่งอรุโณทัย เมื่อฟ้ากระจ่างก็จากลา

ใครคนหนึ่่งบอกว่ารักคนที่เขารักเราดีกว่า แต่ใครอีกคนหนึ่งบอกว่าจงเลือกอยู่กับคนที่เรารัก อย่าทำร้ายตัวเราและคนอื่นเลย

ความรักบางทีก็ง่ายบางทีก็ยาก แถมออกแบบก็ไม่ได้ และหลายครั้งก็โทษใครไม่ได้เลยในเรื่องความรัก

เหมือนที่บางคน (อีกเช่นกัน) บอกว่า ถ้าเลือกจะรักต้องพร้อมรับความทุกข์ เพราะสุขและทุกข์เป็นของคู่กันเหมือนสุริยันและจันทรา

ผมให้คะแนนเรื่องนี้ 7.5/10 ครับ

ขออภัยที่บทความนี้เวิ่นเว้อ และ (เหมือนจะ) ปรัชญาไปหน่อย บรรยากาศหลังดูหนังมันพาไป


5 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ7 พฤษภาคม 2553 เวลา 00:19

    วิจารณ์หนังได้เก่งจัง ไม่เคยอ่านบทวิจารณ์หนังจริงๆ จังๆ เลย พอดีผ่านมา เพราะอยากรู้ว่าหนังเรื่องนี้ไปถ่ายทำที่ทะเลที่ไหน... (ก็ยังไม่รู้อยู่ดี)
    เขียนได้ตรงความรู้สึกมาก อ่านได้เรื่อยๆ หนุกดี เพราะกะลังซึ้งเลย
    ชอบตรงสุริยัน จันทรา ประสานกันได้ชั่วคราว แค่ยามอาทิตย์อัสดง และรุ่งอรุโณทัย ...

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมนะครับ
    Location บ้านพักที่ริมทะเลที่นางเอกนัดพบกับพระเอกนั้น รู้สึกจะอยู่ที่ หาดคุ้งวิมาน อำเภอนายายอาม จันทรบุรีครับ

    แต่บังกาโลนั้นทีมผู้สร้างสร้างขึ้นมาใหม่เอง จบงานถ่ายแล้วไม่รู้จะรื้อออกไปหรือเปล่า

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบพระคุณมากค่ะ เรามองหาว่าอยู่ที่ไหนกันนะ หาดแห่งนี้ หามาจะสิบปีแล้วค่ะ @_@

      ลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ4 มกราคม 2555 เวลา 17:03

    วิจารณ์เก่งจังเลยคะ

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ9 พฤษภาคม 2556 เวลา 16:26

    The article has proven useful to myѕelf. It’s extrеmely helpful anԁ you're naturally quite educated in this area. You have got opened up my personal face to be able to varying views on this topic along with intriguing, notable and solid articles.

    my site ... buy Viagra online

    ตอบลบ