ยินดีต้อนรับครับ

ยินดีต้อนรับครับ

ทักทาย

ผมลองจัดระเบียบบล็อกใหม่ดูนะ ครับ

โดยแบ่ง Group Blog ออกตามประเภทของหนังและนิยายนะครับ
เพราะคิดว่าหลายคนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบ ดูหนังทุกประเภท

เช่น บางคนชอบดูหนัง Romantic แต่ไม่ชอบดูหนังสยองขวัญเลย เพราะไม่ชอบ น่ากลัว

บางคนก็ชอบดูหนัง สยองขวัญเป็นชีวิตจิตใจ หนังชีวิตน่าเบื่อมาก ไม่ชอบดู

ผมเลยแบ่ง หมวดหมู่เป็นประเภทของหนัง (แต่ตอนนี้แต่ละหมวดยังน้อยอยู่) เผื่อว่าใครผ่านเข้ามาในบล็อกแล้วอยากจะอ่านรีวิวเก่า ๆ จะได้เลือกได้ตามประเภทของหนังตามที่ชอบได้

ที่แบ่งตั้งแต่ตอนนี้ แม้หนังที่เขียนยังไม่เยอะ เพราะคิดว่าต่อไปเกิดเยอะมาแบ่งที่หลังจะยิ่งเสียเวลาน่ะครับ

บางเรื่องก็แบ่งยากเหมือนกัน มันคาบเกี่ยวกัน แต่ผมจะพยายามยึดอารมณ์ของหนังเป็นหลักน่ะครับ

อ้อ แล้วก็ในบล็อกผมตั้งใจจะขึ้นคำเตือนในทุกบล็อกว่าตรงไหนคุยแบบไม่สปอยล์ ตรงไหนคุยแบบสปอยล์ เวลาใครมาอ่านจะได้อ่านแบบสบายใจได้ไม่ต้องกลัวถูกสปอยล์นะครับ

ถ้าใครแวะมาแล้วไม่รู้จะคอมเมนต์ อะไร ก็ฝากข้อความทิ้งไว้ที่ Shout Box ด้านข้างได้นะครับ


ขอบคุณ ทุกท่านที่แวะเวียนมาอ่านนะครับ ผมก็จะแวะเวียนไปหาท่านด้วยเช่นกัน ตามโอกาสและเวลา

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

หนีตามกาลิเลโอ : ดูสบาย ได้รอยยิ้ม แต่ (อุตส่าห์) หนีไปไกล น่าจะได้อะไรมากกว่านี้


รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญครับ



คนหนึ่งหนีเรียน อีกคนหนึ่งหนีรัก

Dear Galileo หรือ หนีตามกาลิเลโอ ผลงานเดี่ยวเรื่องที่สองของผู้กำกับ Season change คุณต้น นิธิวัฒน์ ธราธร

หนังเล่าเรื่องราวของเพื่อนรักสองคนที่ต่างผิดหวังในชีิวิตคนละแบบ

เชอรี่ (รับบทโดยคุณต่าย ชุติมา) ผิดหวังกับผลการเรียน และอยู่ในระหว่างถูกพักการเรียน ส่วนนุ่น (รับบทโดยคุณเต้ย จรินทร) ผิดหวังจากความรัก ทั้งสองจึงชวนกันไปหางานทำที่อังกฤษด้วยกัน และถือโอกาสนี้ท่องเที่ยวและใช้ชีวิตในต่างแดนไปในตัว

จึงเป็นที่มาของหนังขายโลเกชั่นสวยงามและบรรยากาศสบายของเมืองใหญ่ ๆ ในยุโรป เช่น ลอนดอน ปารีส เวนิส ปิซ่า เป็นต้น

แต่อย่างที่บอกในหัวข้อเรื่อง หนังให้บรรยากาศสบาย ๆ ที่หลายคนอาจจะรู้สึกสนุกไปกับเรื่องราวและบรรยากาศโดยไม่คิดมาก แต่อีกหลายคนอาจจะรู้สึกว่า ทำไมมันเบาอย่างนี้

ดังนั้น ผมจะขอสรุปข้อดีของหนังจากความเห็นและความรู้สึกของผมก่อนแล้วกัน

1) ภาพสวย วิวสวย ดูแล้วสบายตา เห็นแล้วอยากไปเที่ยวให้สบายใจ (อันนี้แน่นอนเป็นเอกฉันท์)
2) นางเอกทั้งสองเล่นเข้าขากันได้เป็นอย่างดี ทั้งน่ารักสดใส และที่สำคัญไม่จงใจ
3) หนังให้ข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่เรา แม้จะไม่ตอบโจทย์ที่หนังตั้งเอาไว้ก็ตาม


ขอพูดถึงการแสดงของนักแสดงหลักทั้งสามคนก่อนว่ากันที่จุดด้อยและภาพรวมนะครับ

ตัวละครของเชอรี่นั้น เป็นเด็กวัยรุ่นที่มีความมั่นใจในตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเองสูง บางครั้งก็สูงจนทำอะไรแหกกฏ ถ้ามั่นใจว่าตัวเองไม่ผิดก็จะไม่ยอมรับ ยอมหักไม่ยอมงอ จนเป็นที่มาของเรื่องราวหลายอย่างที่เกิดในเรื่อง

คุณต่าย ให้การแสดงที่เหมือนแสดงเป็นตัวของตัวเอง ด้วยความที่มีบุคลิกติดตัวแบบนั้นอยู่แล้ว ในเรื่องเธอดูเป็นคนดื้อดึง ยอมรับอะไรได้ยากและหัวแข็ง แต่ในอีกทางก็รักและห่วงใยเพื่อนเป็นอย่างมาก

บทภาพยนตร์เปิดโอกาสให้คุณต่ายได้แสดงออกถึงฝีไม้ลายมือในซีนที่เรียกอารมณ์คนดูหลาย ๆ ซีน โดยเฉพาะฉากโทรศัพท์กลับบ้าน กับฉากถ่ายวิดีโอตอนท้ายของเรื่อง

เสียแต่ว่าการปูพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างเชอรี่และพ่อนั้นยังไม่สามารถทำให้เรารู้สึกร่วมกับความผูกพันของทั้งสองได้มากพอ และบทสรุปของเรื่องราวก็มาถึงกระทันหันและรู็สึกว่าเบาเกินกว่าที่เราจะรู้สึกอินกับการแสดงออกของตัวละคร

โดยสรุปแล้วถือว่าคุณต่ายให้การแสดงที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอ เป็นพัฒนาการที่ดีที่น่าจับตามอง แม้ผมจะรู้สึกว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ก็โอเค ถือว่าน่าพอใจ

(แต่ความรู้สึกของผม ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทควา่มเก่าเรื่อง "ความจำสั้น ฯ" นั้น ถ้าให้ผมเลือกระหว่้างคุณต่ายกับคุณญารินดา ผมให้คะแนนฝ่ายหลังมากกว่า และคิดว่าเธอน่าจะมีชื่อเข้าชิงรางวัลแทน)


ตัวละครของคุณเต้ย เป็นตัวละครที่มีหลายอย่างที่ตรงข้ามกับเชอรี่

นุ่นเป็นเด็กสาวที่ถูกพ่อแม่เลี้ยงในกรอบ (แต่เชอรี่ พ่อตามใจ ไม่บังคับไม่กะเกณฑ์อะไร ซักผ้า ล้างจานให้ลูก จนกลายเป็นสร้างนิสัยไม่ดีให้กับเชอรี่ไปโดยไม่รู้ตัว) แม้อยู่ในวัยเรียนจบแล้ว พ่อแม่ก็ไม่ยอมปล่อยให้ห่างสายตา (อันนี้หลายคนบอกว่าก็น่ารักซะขนาดนั้น) แต่สุดท้ายเธอก็ลุกขึ้นมาปฏิวัติ ขัดใจพ่อแม่จนได้

การที่บทไม่ได้เรียกร้องการแสดงดราม่าขั้นเทพอะไรจากตัวละครตัวนี้ กลายเป็นข้อดี ทำให้ทุกครั้งที่คุณเต้ยขึ้นจอนั้น เธอแทบไม่ต้องแสดงอะไรมากมาย นอกจากใส่ความใสซื่อ น่ารักให้กับตัวละคร การพูดจาที่เป็นธรรมชาติ ถือเป็นโบนัสอย่างดีให้กับหนัง และอาจจะสำหรับคนดูผู้ชายอีกกลุ่มใหญ่



สำหรับบทของคุณเร แม็คโดนัลด์นั้น ผมว่าไม่มีใครเหมาะจะแสดงบทนี้เท่าคุณเรอีกแล้ว ใครจะพูดคำว่า "ใช้ชีวิต" กับ "ได้ตก" ได้เท่ห์ มีความหมาย แต่ไม่ชวนเลี่ยน หรือดูจงใจได้เท่านี้

เพราะถ้าเชอรี่คือพวกหัวขบถ ดื้อดึง ขวางโลก ส่วนนุ่นเป็นคนที่ขาดจุดยืน อ่อนต่อโลก หัวอ่อน ยอมตามเพื่อน ตั้ม (หรือสิทธิ) ก็คือตัวละครที่เปรียบเหมือนคนที่เห็นโลกมามาก และได้มองโลกในมุมมองที่เข้าใจ แต่ไม่ใช่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่จะมาสอนปรััชญาชีิวิตแก่เด็กดื้อรั้ันคนหนึ่งและหัวอ่อนคนหนึ่ง เขาแค่มองโลกอย่างตรงไปตรงมา และพูดมาออกมาตรง ๆ เท่านั้นเอง

ซึ่งคุณเรมีแคแรคเตอร์แบบนั้นติดตัวอยู่แล้วเป็นทุนเดิม

สิ่งที่ดูขัดใจอยู่บ้างในหนังเรื่องนี้คือ ความสมเหตุสมผล การหาทางออกที่ง่ายไปหน่อยให้กับตัวละคร เช่น
การเดินทางข้ามประเทศ เหมือนนักท่องเที่ยวที่มีเงินทองอย่างเหลือเฟือ
การหางานทำในร้านอาหารที่ดูเหมือนได้มาอย่างง่ายดาย (ถ้าใครมีประสบการณ์ น่าจะรู้ดี)
การให้นางเอกประสบความสำเร็จ แบบที่รู้สึุกว่า ง่ายไปไหม
และโดยเฉพาะฉากจบตอนท้ายที่ขาดความสมเหตุสมผลอย่างไม่น่าให้อภัย ว่าทำไมไม่มารับด้วยกัน ต้องยืนแยกกันทำไม


แต่สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นข้อบกพร่องของหนังเรื่องนี้มากที่สุด คือหนังไม่ตอบโจทย์ความเป็น Road movie ซึ่งนั้นคือแนวทางที่หนังเลือกจะนำเสนอ

หนังอาจจะะนำเสนอเรื่องราวที่ดูเหมือนเบาบางอยูบ้าง จนคนดูส่วนหนึ่งรู้สึกว่าหนังทั้งเรื่องกลวง นั่นก็เข้าใจได้ เพราะสไตล์ของหนังแนวนี้ส่วนใหญ่ ถ้าไม่ทำออกมาแบบดราม่าหนักอึ้งอย่าง The Road , The Book of Eli ก็จะมาแบบสบาย ๆ อย่าง Sideway หรือ Little miss sunshine

แต่หนังแนวนี้มักนำเสนอตัวละครที่ได้เรียนรู้ชีวิตของตัวเองบางอย่างจากการเดินทาง ซึ่งในเรื่องนั้นนุ่นผิดหวังในความรักเพราะลักษณะนิสัยบางอย่าง ส่วนเชอรี่ถูกพักการเรียนเพราะนิสัยส่วนตัวบางอย่าง แต่สุดท้ายแล้วผมไม่ได้รู้สึกเลยว่าทั้งสองคนได้เรียนรู้อะไรจากการเดินทางครั้งนี้ในประเด็นที่หนังวางเอาไว้

หนังกลับหาทางออกให้กับทั้งสองในทิศทางที่ต่างออกไป ไม่ได้เน้นย้ำให้เห็นพัฒนาการของตัวละครในประเด็นที่เรื่องผูกไว้ในตอนต้น

ซึ่งถือว่าน่าเสียดายและผมรู้สึกว่าเป็นข้อบกพร่องหลักของหนัง

แ่ต่ความดีงามของหนังก็ยังมีอยู่ คือ หนังทำให้เราดูสนุกได้ แม้จะไม่มีเนื้อหาที่หนักแน่น


ถ้าจะมีอะไรอยู่บ้างก็คือ 3 ฉากสั้น ๆ ในเรื่องของตั้ม คือฉากอธิบายเรื่องที่อยู่ของพวกเขา ฉากตกปลา และฉากเข็นจักรยานคุยกับนุ่น ซึ่งทำให้คนดูอย่างเรา ๆ ได้เก็บอะไรจากหนังกลับไปบ้างมากกว่าเนื้อหาของหนังที่เหลือทั้งหมดใน 3 ประเทศซะัอีก

หนีตามกาลิเลโอ จึงเป็นหนังที่อุตส่าห์ไปซะไกล กลับให้น้อย แต่ก็มีรอยยิ้ม ดูจบสบายใจ
เป็นหนังผ่านมาตรฐาน แต่ยังไม่ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเรื่องอื่น ๆ ของ GTH

ให้คะแนน 6.5/10 ครับ

(หลายท่านอาจจะบอกว่า ทำไมเจ้าของบล็อกโลเลอย่างนี้ 555 ตกลงหนังดี ไม่ดี ก็ขอแทงกั๊กไว้ตรงนี้แล้วกัน และคิดว่าหัวข้อบทความอธิบายความรู้สึกอยู่แล้ว ขอบคุณที่ติดตามครับ)

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ8 ธันวาคม 2553 เวลา 11:54

    ยกมือ วู้วๆๆๆ

    ตอบลบ
  2. ^^
    ยกมือนี่คือเห็นด้วยกับบทความหรือ ยกมือว่ามาคอมเม้นท์แล้ว 55+

    ตอบลบ