ยินดีต้อนรับครับ

ยินดีต้อนรับครับ

ทักทาย

ผมลองจัดระเบียบบล็อกใหม่ดูนะ ครับ

โดยแบ่ง Group Blog ออกตามประเภทของหนังและนิยายนะครับ
เพราะคิดว่าหลายคนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบ ดูหนังทุกประเภท

เช่น บางคนชอบดูหนัง Romantic แต่ไม่ชอบดูหนังสยองขวัญเลย เพราะไม่ชอบ น่ากลัว

บางคนก็ชอบดูหนัง สยองขวัญเป็นชีวิตจิตใจ หนังชีวิตน่าเบื่อมาก ไม่ชอบดู

ผมเลยแบ่ง หมวดหมู่เป็นประเภทของหนัง (แต่ตอนนี้แต่ละหมวดยังน้อยอยู่) เผื่อว่าใครผ่านเข้ามาในบล็อกแล้วอยากจะอ่านรีวิวเก่า ๆ จะได้เลือกได้ตามประเภทของหนังตามที่ชอบได้

ที่แบ่งตั้งแต่ตอนนี้ แม้หนังที่เขียนยังไม่เยอะ เพราะคิดว่าต่อไปเกิดเยอะมาแบ่งที่หลังจะยิ่งเสียเวลาน่ะครับ

บางเรื่องก็แบ่งยากเหมือนกัน มันคาบเกี่ยวกัน แต่ผมจะพยายามยึดอารมณ์ของหนังเป็นหลักน่ะครับ

อ้อ แล้วก็ในบล็อกผมตั้งใจจะขึ้นคำเตือนในทุกบล็อกว่าตรงไหนคุยแบบไม่สปอยล์ ตรงไหนคุยแบบสปอยล์ เวลาใครมาอ่านจะได้อ่านแบบสบายใจได้ไม่ต้องกลัวถูกสปอยล์นะครับ

ถ้าใครแวะมาแล้วไม่รู้จะคอมเมนต์ อะไร ก็ฝากข้อความทิ้งไว้ที่ Shout Box ด้านข้างได้นะครับ


ขอบคุณ ทุกท่านที่แวะเวียนมาอ่านนะครับ ผมก็จะแวะเวียนไปหาท่านด้วยเช่นกัน ตามโอกาสและเวลา

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

The Fourth Kind เรียลลิตี้ ไซไฟ สยองขวัญ (อันไหนจริง อันไหนปลอม)


รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญครับ

ลำดับที่ 1 (the first kind) คือ เห็น UFO (Unidentified Flying Object) หรือภาษาไทยแปลไว้อย่างสวยงามว่า วบกอม (55)
ลำดับที่ 2 (the second kind) คือ เห็นหรือพบเจอที่เอเลี่ยนทิ้งไว้ เช่น สัญลักษณ์ บาดแผล ลำแสง ความร้อน ฯลฯ
ลำดับที่ 3 (the third kind) คือ ติดต่อสื่อสารกับเอเลี่ยน
และลำดับที่ 4 (the fourth kind) คือ ถูกลักพาตัวโดยเอเลี่ยน

อย่างแรกที่ต้องบอกคือ หนังไอเดียดี
อย่างที่สองที่ต้องบอกคือ Milla Jovovich ในเรื่องนี้ดูสวยดี คือสวยแบบเป็นผู้เป็นคนธรรมดา เพราะเท่าที่ผ่านมา นักดูหนังบ้านเรามักจะเจอเธอในบทบาทหญิงเก่งแบบผิดมนุษย์มนากันทั้งนั้น (ลองนึกดูกันเอาเอง)

ผมดูเรื่องนี้ต่อจาก Paranormal Activity แล้วก็พบว่าสองเรื่องนี้มีไอเดียในการนำเสนอที่เหมือนกัน คือพูดง่าย ๆ ตั้งใจหลอก (คนดู) ให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องจริง เพื่อผลทางจิตวิทยาในการดูหนัง ให้คนดูมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกันกับหนังมากขึ้น ซึ่งประสบความสำเร็จครับ

แต่แน่นอนสิ่งที่ต่างกันของ 2 เรื่องนี้คือ Paranormal Activity นี้อินดี้เห็น ๆ นำเสนอตัวเองในฐานะหนังทุนต่ำ ขายไอเดียและสร้างบรรยากาศ ไม่กระแทกกระทั้นอารมณ์ ไม่กระชากหรือบีบคั้นความรู้สึก ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่เห็น ไม่ใช่ตกใจกลัว เล่นกับอารมณ์คนดู สิ่งที่ ผกก.ต้องทำการบ้านมา ไม่ใช่เรื่องบทหรือโปรดักชั่น แต่เป็นเรื่องของการเข้าใจความรู้สึกของคนจริง ๆ ว่าแท้ที่จริงเรากลัวอะไรกันแน่

ซึ่งหนังประเภทนี้นั้น ถ้าทำถึง และคนดูเข้าถึง ก็จะได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมาก แต่ถ้าไปในทางตรงข้าม คำว่าน่าเบื่ออาจจะน้อยไป

แล้วหนังไปในทางไหนล่ะ? boxoffice ตอบคุณได้ครับ

ในทางกลับกัน เห็นได้ชัดว่า 4th Kind มาในร่างทรงของหนังสตูดิโอเต็มตัว มีนักแสดงซุปเปอร์สตาร์ มีโปรดักชั่น เล่นกับประเด็นที่ใหญ่โต และอยู่ในความสงสัยใคร่รู้ของอเมริกันชนมาโดยตลอด ดังจะเห็นได้ว่าหนังมนุษย์ต่างดาวไม่เคยขาดหายไปจากฮอลลีวู้ดเลย

แต่อย่างที่บอกครับว่าเรื่องนี้ประสบความสำเร็จที่ไอเดียดี

ในขณะที่หนังเอเลี่ยนเรื่องอื่น คิดบท พลิกแพลงกันไปหลายแบบ มายึดโลกบ้าง มาเป็นรูปร่างมนุษย์ช่วยโลกบ้าง มาจับตัวไปทดลอง มาในรูปร่างนั้นรูปร่างนี้ แม้แต่เวอร์ชั่นตลกเสียดสีไปเลยของ Tim burton ก็มีไปแล้ว

4th Kind พบแนวทางของตนเอง อย่ากระนั้นเลยเรื่องบทเป็นเรื่องรอง เรื่องนำเสนออย่างไรนั้นแหละสำคัญ

จึงเป็นที่มาของการหลอกคนดูในโรงจนหลายคนเชื่อซะสนิทว่านี่เป็นเรื่องจริง (ที่ว่าหลอกในโรง เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจลวงโลก แต่ต้องการนำเสนอให้เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงนะครับ คนละประเด็นกัน)

ดังนั้น บอกไว้ตรงนี้ก่อนว่าทุกอย่างที่เห็นในหนังเจตนาสร้างขึ้นทั้งนั้น และมีตัวแสดงทุกคน (คิดว่าหลายคนที่หาข้อมูลมาแล้วก็คงจะทราบดีอยู่) ถ้าไม่แน่ใจ google และ imdb ช่วยคุณได้ครับ

หนังเดินหมากเริ่มต้นได้อย่างดี ด้วยการให้ Milla Jovovich เดินมาบอกผู้ชมตรง ๆ ว่าหนังจะนำเสนออย่าไร และเราก็เชื่ออย่างนั้นเช่นกัน (เว้นแต่เราจะมีข้อมูลก่อนดูหนัง ซึ่งนั่นไม่ใช่วิธีการที่ดีเลยครับ สำหรับผมเวลาจะดูหนังอะไร ถ้าเขาจะทำให้เราเชื่ออะไร ก็ยอมเขาเถอะ จะได้ดูหนังได้สนุก จบแล้วค่อยว่ากัน)

นี่ถือเป็นความฉลาดของบทหนังที่สร้างผลทางจิตวิทยาไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง เพื่อทำให้หนังเกิดอรรถรสมากยิ่งขึ้น (เหมือนสมัยก่อน ทำไมคนแห่กันไปดูแอบดูเป็นแอบดูตายกันแน่นโรง นั่นแหละครับ)

ตัวเนื้อเรื่องผมคงไม่มีอะไรให้พูดถึงมากมาย หนังดำเนินเรื่องไปในทิศทางของตัวเอง สไตล์หนังลึกลับ เริ่มจากปมเรื่องของสามีนางเอก และต่อมาด้วยปมเรื่องของคนไข้ในความดูแลนางเอก ไปจนถึงจุดเฉลย และไคลแมกซ์ของเรื่อง หนังทำให้คนดูอย่างเรา ติดตามไปได้ตลอด

แต่แม้ตัวหนังเองจะมีไอเดียนำเสนอที่ดีและแตกต่าง (ผมไม่แน่ใจว่า 2 เรื่องนี้ที่พูดถึง ใครสร้างก่อนใคร หรือใครได้อิทธิพลจากใครบ้างหรือเปล่า) แต่สุดท้ายแล้ว อารมณ์ของความเป็นหนังสยองขวัญ (กึ่งไซไฟ) ของเรื่องนี้ก็ยังเดินตามรอยเดิมของหนังส่วนใหญ่ในฮอลลีวู้ด

สังเกตุได้ว่า แม้ตัวหนังเองเมื่อเทียบกับ Paranormal Activity แล้วจะมีการดำเนินเรื่องที่ตื่นเต้นรวดเร็ว (หนังยาวประมาณ 90 กว่านาทีเช่นกัน) เรียกได้ว่าคนดูร้อยคน ก็น่าจะดูด้วยความตั้งใจหรืออย่างน้อยก็ดูจบทั้งร้อยคน แต่ Paranormal Activity อาจจะมีซัก 20 คนที่ไม่ถูกใจ นอนหลับไปก่อนหนังจบก็ได้ (นี่นับเฉพาะคนดูแผ่นอยู่กับบ้านนะครับ) แต่เมื่อนำเอาตัวเลขรายได้มาพิจารณาแล้ว กลับแตกต่างกันมาก

ขณะที่เรื่องแรก ได้ไปเนาะ ๆ 180 กว่าล้านดอลล่าห์ทั่วโลก แต่ 4th kind กลับทำรายรับน่าผิดหวัง 45 ล้านดอลล่าห์ทั่วโลก
เป็นดัชนีอย่างหนึ่งที่ชี้วัดว่าบางที (หรือหลายที) สตูดิโอก็สู้อินดี้ไม่ได้เหมือนกัน

หนังจบลงแทบจะคล้ายกันกับ Paranormal Activity เลย คือมีเนื้อหาเล่าต่อจากเรื่องจบ เพื่อย้ำให้เกิดความสมจริงยิ่งขึ้น

สิ่งหนึ่งในหนังที่รู้สึกขัดใจผม และคงอีกหลายคนเป็นอย่างยิ่ง คือ ไอ้นายอำเภอในเรื่อง หลายคนคงดูแล้วคิดในใจว่า มันจะดื้อด้านและเกรียนไปถึงไหน

จริง ๆ แล้วถ้าตัวละครนี้ไปอยู่ในหนังสยองขวัญวัยรุ่น เกรดบี ก็คงทำนายชะตากรรมได้ไม่ยาก

โดยภาพรวมแล้วสำหรับผมเอง ถือว่าเป็นหนังที่ดูสนุก และประทับใจกับไอเดีย และความตั้งใจของผู้สร้างนะครับ

แต่อย่างว่าแหละ เรื่องแรก สำหรับคนที่ชอบก็จะชอบมากถึงมากที่สุด คนที่ไม่ชอบก็จะไม่ชอบเลย แต่กับเรื่องนี้คิดว่าส่วนใหญ่ดูแล้วน่าจะโอเค ชอบมาก ชอบน้อย แตกต่างกัน แต่ความที่หนังต่างกัน จึงเทียบกันไม่ได้

เหมือนเอา Lost มาเทียบกับ Prison Break ยังไงยังงั้น

ผมให้คะแนนความพยายามและไอเดียการนำเสนอของหนังซัก 6.5/10 คะแนนครับ

ดูกันชัด ๆ Charlotte Milchard ผู้แสดงเป็น Dr.Abigail Tyler ตัวจริงที่ปลอมขึ้นมาในเรื่อง (เอ๊ะ ยังไง)

ข้อมูลเพิ่มเติมของหนังเรื่องนี้นะครับ
สิ่งที่เป็นเรื่องจริงอย่างเดียวในเรื่องนี้คือ

เคยมีเอฟบีไอเดินทางไปทำคดีคนหายหลายครั้งที่เกิดขึ้นในเมืองโนม อลาสก้าที่เป็นโลเกชั่นในเรื่องจริง แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับเหตุการณ์จานบินลึกลับแต่อย่างใด

3 ความคิดเห็น:

  1. อร่อย "ตั๊งโต๊ะ"17 สิงหาคม 2553 เวลา 02:45

    ช่วงแรกที่ดูหนังเรื่องนี้ จนมาถึงใกล้ปลายเรื่อง
    ผมเชื่อว่าเรื่องจริง (เนื่องจากไม่ได้อ่านรีวิวมาก่อน)
    แต่พอดูมาถึง ตอนที่ยานบินลำบักเอ๊กซ์ มาอยู่เหนือบ้านนั่นแหละ
    เฉลยหมดเลย .... ว่ามันมิใช่้เรื่องจริง
    หลอกกรู(ขอโตดครับ ไม่สุภาพ)ได้ เกือบจะเอาไปพูดอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนว่าเป็นเรื่องจริงซะแล้ว

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ30 กันยายน 2553 เวลา 19:40

    ชอบ

    ตอบลบ
  3. ยอมรับว่าที่สุดของความหลอน นอนไม่หลับเลย ทำหนังได้สุดยอดมากๆ

    ตอบลบ