รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญครับ
ลำดับที่ 1 (the first kind) คือ เห็น UFO (Unidentified Flying Object) หรือภาษาไทยแปลไว้อย่างสวยงามว่า วบกอม (55)
ลำดับที่ 1 (the first kind) คือ เห็น UFO (Unidentified Flying Object) หรือภาษาไทยแปลไว้อย่างสวยงามว่า วบกอม (55)
ลำดับที่ 2 (the second kind) คือ เห็นหรือพบเจอที่เอเลี่ยนทิ้งไว้ เช่น สัญลักษณ์ บาดแผล ลำแสง ความร้อน ฯลฯ
ลำดับที่ 3 (the third kind) คือ ติดต่อสื่อสารกับเอเลี่ยน
และลำดับที่ 4 (the fourth kind) คือ ถูกลักพาตัวโดยเอเลี่ยน
อย่างแรกที่ต้องบอกคือ หนังไอเดียดี
อย่างที่สองที่ต้องบอกคือ Milla Jovovich ในเรื่องนี้ดูสวยดี คือสวยแบบเป็นผู้เป็นคนธรรมดา เพราะเท่าที่ผ่านมา นักดูหนังบ้านเรามักจะเจอเธอในบทบาทหญิงเก่งแบบผิดมนุษย์มนากันทั้งนั้น (ลองนึกดูกันเอาเอง)
ผมดูเรื่องนี้ต่อจาก Paranormal Activity แล้วก็พบว่าสองเรื่องนี้มีไอเดียในการนำเสนอที่เหมือนกัน คือพูดง่าย ๆ ตั้งใจหลอก (คนดู) ให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องจริง เพื่อผลทางจิตวิทยาในการดูหนัง ให้คนดูมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกันกับหนังมากขึ้น ซึ่งประสบความสำเร็จครับ
แต่แน่นอนสิ่งที่ต่างกันของ 2 เรื่องนี้คือ Paranormal Activity นี้อินดี้เห็น ๆ นำเสนอตัวเองในฐานะหนังทุนต่ำ ขายไอเดียและสร้างบรรยากาศ ไม่กระแทกกระทั้นอารมณ์ ไม่กระชากหรือบีบคั้นความรู้สึก ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่เห็น ไม่ใช่ตกใจกลัว เล่นกับอารมณ์คนดู สิ่งที่ ผกก.ต้องทำการบ้านมา ไม่ใช่เรื่องบทหรือโปรดักชั่น แต่เป็นเรื่องของการเข้าใจความรู้สึกของคนจริง ๆ ว่าแท้ที่จริงเรากลัวอะไรกันแน่
ซึ่งหนังประเภทนี้นั้น ถ้าทำถึง และคนดูเข้าถึง ก็จะได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมาก แต่ถ้าไปในทางตรงข้าม คำว่าน่าเบื่ออาจจะน้อยไป
แล้วหนังไปในทางไหนล่ะ? boxoffice ตอบคุณได้ครับ
ในทางกลับกัน เห็นได้ชัดว่า 4th Kind มาในร่างทรงของหนังสตูดิโอเต็มตัว มีนักแสดงซุปเปอร์สตาร์ มีโปรดักชั่น เล่นกับประเด็นที่ใหญ่โต และอยู่ในความสงสัยใคร่รู้ของอเมริกันชนมาโดยตลอด ดังจะเห็นได้ว่าหนังมนุษย์ต่างดาวไม่เคยขาดหายไปจากฮอลลีวู้ดเลย
แต่อย่างที่บอกครับว่าเรื่องนี้ประสบความสำเร็จที่ไอเดียดี
ในขณะที่หนังเอเลี่ยนเรื่องอื่น คิดบท พลิกแพลงกันไปหลายแบบ มายึดโลกบ้าง มาเป็นรูปร่างมนุษย์ช่วยโลกบ้าง มาจับตัวไปทดลอง มาในรูปร่างนั้นรูปร่างนี้ แม้แต่เวอร์ชั่นตลกเสียดสีไปเลยของ Tim burton ก็มีไปแล้ว
4th Kind พบแนวทางของตนเอง อย่ากระนั้นเลยเรื่องบทเป็นเรื่องรอง เรื่องนำเสนออย่างไรนั้นแหละสำคัญ
จึงเป็นที่มาของการหลอกคนดูในโรงจนหลายคนเชื่อซะสนิทว่านี่เป็นเรื่องจริง (ที่ว่าหลอกในโรง เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจลวงโลก แต่ต้องการนำเสนอให้เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงนะครับ คนละประเด็นกัน)
ดังนั้น บอกไว้ตรงนี้ก่อนว่าทุกอย่างที่เห็นในหนังเจตนาสร้างขึ้นทั้งนั้น และมีตัวแสดงทุกคน (คิดว่าหลายคนที่หาข้อมูลมาแล้วก็คงจะทราบดีอยู่) ถ้าไม่แน่ใจ google และ imdb ช่วยคุณได้ครับ
หนังเดินหมากเริ่มต้นได้อย่างดี ด้วยการให้ Milla Jovovich เดินมาบอกผู้ชมตรง ๆ ว่าหนังจะนำเสนออย่าไร และเราก็เชื่ออย่างนั้นเช่นกัน (เว้นแต่เราจะมีข้อมูลก่อนดูหนัง ซึ่งนั่นไม่ใช่วิธีการที่ดีเลยครับ สำหรับผมเวลาจะดูหนังอะไร ถ้าเขาจะทำให้เราเชื่ออะไร ก็ยอมเขาเถอะ จะได้ดูหนังได้สนุก จบแล้วค่อยว่ากัน)
นี่ถือเป็นความฉลาดของบทหนังที่สร้างผลทางจิตวิทยาไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง เพื่อทำให้หนังเกิดอรรถรสมากยิ่งขึ้น (เหมือนสมัยก่อน ทำไมคนแห่กันไปดูแอบดูเป็นแอบดูตายกันแน่นโรง นั่นแหละครับ)
ตัวเนื้อเรื่องผมคงไม่มีอะไรให้พูดถึงมากมาย หนังดำเนินเรื่องไปในทิศทางของตัวเอง สไตล์หนังลึกลับ เริ่มจากปมเรื่องของสามีนางเอก และต่อมาด้วยปมเรื่องของคนไข้ในความดูแลนางเอก ไปจนถึงจุดเฉลย และไคลแมกซ์ของเรื่อง หนังทำให้คนดูอย่างเรา ติดตามไปได้ตลอด
แต่แม้ตัวหนังเองจะมีไอเดียนำเสนอที่ดีและแตกต่าง (ผมไม่แน่ใจว่า 2 เรื่องนี้ที่พูดถึง ใครสร้างก่อนใคร หรือใครได้อิทธิพลจากใครบ้างหรือเปล่า) แต่สุดท้ายแล้ว อารมณ์ของความเป็นหนังสยองขวัญ (กึ่งไซไฟ) ของเรื่องนี้ก็ยังเดินตามรอยเดิมของหนังส่วนใหญ่ในฮอลลีวู้ด
สังเกตุได้ว่า แม้ตัวหนังเองเมื่อเทียบกับ Paranormal Activity แล้วจะมีการดำเนินเรื่องที่ตื่นเต้นรวดเร็ว (หนังยาวประมาณ 90 กว่านาทีเช่นกัน) เรียกได้ว่าคนดูร้อยคน ก็น่าจะดูด้วยความตั้งใจหรืออย่างน้อยก็ดูจบทั้งร้อยคน แต่ Paranormal Activity อาจจะมีซัก 20 คนที่ไม่ถูกใจ นอนหลับไปก่อนหนังจบก็ได้ (นี่นับเฉพาะคนดูแผ่นอยู่กับบ้านนะครับ) แต่เมื่อนำเอาตัวเลขรายได้มาพิจารณาแล้ว กลับแตกต่างกันมาก
ขณะที่เรื่องแรก ได้ไปเนาะ ๆ 180 กว่าล้านดอลล่าห์ทั่วโลก แต่ 4th kind กลับทำรายรับน่าผิดหวัง 45 ล้านดอลล่าห์ทั่วโลก
เป็นดัชนีอย่างหนึ่งที่ชี้วัดว่าบางที (หรือหลายที) สตูดิโอก็สู้อินดี้ไม่ได้เหมือนกัน
หนังจบลงแทบจะคล้ายกันกับ Paranormal Activity เลย คือมีเนื้อหาเล่าต่อจากเรื่องจบ เพื่อย้ำให้เกิดความสมจริงยิ่งขึ้น
สิ่งหนึ่งในหนังที่รู้สึกขัดใจผม และคงอีกหลายคนเป็นอย่างยิ่ง คือ ไอ้นายอำเภอในเรื่อง หลายคนคงดูแล้วคิดในใจว่า มันจะดื้อด้านและเกรียนไปถึงไหน
จริง ๆ แล้วถ้าตัวละครนี้ไปอยู่ในหนังสยองขวัญวัยรุ่น เกรดบี ก็คงทำนายชะตากรรมได้ไม่ยาก
โดยภาพรวมแล้วสำหรับผมเอง ถือว่าเป็นหนังที่ดูสนุก และประทับใจกับไอเดีย และความตั้งใจของผู้สร้างนะครับ
แต่อย่างว่าแหละ เรื่องแรก สำหรับคนที่ชอบก็จะชอบมากถึงมากที่สุด คนที่ไม่ชอบก็จะไม่ชอบเลย แต่กับเรื่องนี้คิดว่าส่วนใหญ่ดูแล้วน่าจะโอเค ชอบมาก ชอบน้อย แตกต่างกัน แต่ความที่หนังต่างกัน จึงเทียบกันไม่ได้
เหมือนเอา Lost มาเทียบกับ Prison Break ยังไงยังงั้น
ผมให้คะแนนความพยายามและไอเดียการนำเสนอของหนังซัก 6.5/10 คะแนนครับ
ดูกันชัด ๆ Charlotte Milchard ผู้แสดงเป็น Dr.Abigail Tyler ตัวจริงที่ปลอมขึ้นมาในเรื่อง (เอ๊ะ ยังไง)
ข้อมูลเพิ่มเติมของหนังเรื่องนี้นะครับ
สิ่งที่เป็นเรื่องจริงอย่างเดียวในเรื่องนี้คือ
เคยมีเอฟบีไอเดินทางไปทำคดีคนหายหลายครั้งที่เกิดขึ้นในเมืองโนม อลาสก้าที่เป็นโลเกชั่นในเรื่องจริง แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับเหตุการณ์จานบินลึกลับแต่อย่างใด
ช่วงแรกที่ดูหนังเรื่องนี้ จนมาถึงใกล้ปลายเรื่อง
ตอบลบผมเชื่อว่าเรื่องจริง (เนื่องจากไม่ได้อ่านรีวิวมาก่อน)
แต่พอดูมาถึง ตอนที่ยานบินลำบักเอ๊กซ์ มาอยู่เหนือบ้านนั่นแหละ
เฉลยหมดเลย .... ว่ามันมิใช่้เรื่องจริง
หลอกกรู(ขอโตดครับ ไม่สุภาพ)ได้ เกือบจะเอาไปพูดอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนว่าเป็นเรื่องจริงซะแล้ว
ชอบ
ตอบลบยอมรับว่าที่สุดของความหลอน นอนไม่หลับเลย ทำหนังได้สุดยอดมากๆ
ตอบลบ